มองวิกฤตให้เป็นโอกาส เมื่อตลาดกำลังปรับฐาน
26 มีนาคม 2568 · อ่าน 2 นาที
ตลาดปรับฐานอาจฟังดูน่ากังวลสำหรับนักลงทุนหลายท่าน เมื่อมูลค่าพอร์ตลงทุนของคุณกำลังปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล นี่อาจเป็นช่วงเวลาทองในการ “ช้อนซื้อ” หุ้นดีราคาถูก
วันนี้แอดจะชวนเพื่อน ๆ มาทำความเข้าใจ สำรวจความหมาย ลักษณะ และโอกาสที่ซ่อนอยู่ในการปรับฐานของตลาดหุ้น ที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองวิกฤตให้เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาวกันครับ
ทำความเข้าใจการปรับฐานของตลาดที่มากกว่าแค่ราคาหุ้นตก
การปรับฐานของตลาดหุ้น (Market Correction) หมายถึง การลดลงของมูลค่าตลาดโดยรวมอย่างน้อย 10% แต่ไม่เกิน 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด เหตุการณ์นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาดหุ้น และเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยมีสาเหตุจากความกังวลของนักลงทุนต่อปัจจัยต่าง ๆ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ นโยบายการค้า เช่น ภาษีนำเข้า หรือความไม่แน่นอนทางการเมือง
แม้ว่าการปรับฐานจะสร้างความผันผวนและความรู้สึกไม่สบายใจให้กับนักลงทุน แต่ในทางประวัติศาสตร์แล้ว ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เสมอ !
เพราะสถิติในอดีตชี้ให้เห็นโอกาสหลังวิกฤต
ในอดีต การปรับฐานของตลาดหุ้นไม่ได้นำไปสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) เสมอไป และส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยการฟื้นตัวของราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจาก UBS เผยให้เห็นว่า ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวหลังจากการปรับฐาน
โดยเฉลี่ยแล้ว ในปีที่เกิดการปรับฐาน ดัชนี S&P 500 จะปรับตัวสูงขึ้น +8% ใน 3 เดือน และเกือบ 20% ใน 12 เดือน หลังจากจุดต่ำสุดของการปรับฐาน สถิติเหล่านี้เน้นย้ำว่า การปรับฐานเป็นช่วงเวลาที่ตลาดเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาที่น่าสนใจ
แล้วอะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นการปรับฐาน ความกังวลและนโยบายที่ไม่แน่นอน
ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล เช่น เรื่องภาษีนำเข้า (Tariffs) เป็นปัจจัยสำคัญที่มักกระตุ้นให้เกิดการปรับฐานของตลาดหุ้น ความไม่แน่นอนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เหล่านี้อาจเป็นเพียงระยะสั้น ตัวอย่างเช่น แม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจลดลงในช่วงสั้น ๆ แต่ในอดีต การลดลงของความเชื่อมั่นไม่ได้นำไปสู่ผลตอบแทนที่แย่ในตลาดหุ้นเสมอไป นอกจากนี้ ผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้า แม้จะสร้างความผันผวนในระยะสั้น และอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท แต่เมื่อตลาดปรับตัวและรับรู้ถึงสถานการณ์ใหม่ ผลกระทบในระยะยาวมักจะลดลง
โอกาสทองท่ามกลางความผันผวน กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน
การปรับฐานของตลาดหุ้นถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาวในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดีในราคาที่ต่ำลง วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนาน กล่าวว่า “ยิ่งตลาดลงมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งชอบซื้อมากขึ้นเท่านั้น” กลยุทธ์การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging) ซึ่งเป็นการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้มากขึ้นในช่วงที่ราคาปรับตัวลง และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของราคาในอนาคต สิ่งสำคัญคือการมีสติ ไม่ตื่นตระหนกไปกับข่าวสารในระยะสั้น และยึดมั่นในแผนการลงทุนระยะยาว
การพยายามจับจังหวะตลาด (Market Timing) เป็นเรื่องยาก และอาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการฟื้นตัวของตลาด ข้อมูลในอดีตยังแสดงให้เห็นว่า วันที่ดีที่สุดในการซื้อขายมักจะเกิดขึ้นใกล้กับจุดต่ำสุดของการปรับฐาน ดังนั้น การอยู่ในตลาดจึงมีความสำคัญมากกว่าการพยายามคาดการณ์จุดต่ำสุดครับ
ดังนั้น เรามามองการปรับฐานด้วยความเข้าใจและโอกาสกันดีกว่า
การปรับฐานของตลาดหุ้นเป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นตามวัฏจักร และมักมีสาเหตุมาจากความกังวลในระยะสั้นและความไม่แน่นอนของนโยบาย แม้ว่าในช่วงแรกอาจสร้างความกังวลใจ แต่สำหรับนักลงทุนที่เข้าใจและมีมุมมองระยะยาว การปรับฐานคือโอกาสในการ “ช้อนซื้อ” หุ้นคุณภาพดีในราคาที่น่าดึงดูดครับ
โดยทั่วไปแล้ว ตลาดมักจะฟื้นตัวและให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกในระยะยาวหลังจากการปรับฐาน แม้ว่าในบางครั้งอาจมีผลตอบแทนติดลบในระยะสั้น
“ตั้งแต่ปี 1974 มีเพียง 6 ครั้งเท่านั้นที่การปรับฐานของตลาดได้กลายเป็นตลาดหมี”
สรุป ความแตกต่างระหว่างการปรับฐานของตลาด (Market Correction) กับตลาดหมี (Bear Market)
- การปรับฐานของตลาด (Market Correction) เป็นการปรับตัวลงในระยะสั้นถึงปานกลาง โดยทั่วไปจะมีการปรับตัวลงระหว่าง 10% ถึง 20% จากจุดสูงสุด
- ตลาดหมี (Bear Market) เป็นภาวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยมีการปรับตัวลงอย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุด และมักจะกินระยะเวลานานกว่าการปรับฐานของตลาด
จากสถิติชี้ให้เห็นว่า การที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลง (อย่างน้อย 10%) ไม่ได้หมายความว่าตลาดจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมีเสมอไป ในอดีตที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วการปรับฐานของตลาดจะเป็นเพียงการพักตัวหรือการปรับสมดุลของราคา ก่อนที่จะกลับไปสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่การปรับฐานจะรุนแรงจนกลายเป็นตลาดหมี
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการปรับฐานของตลาดและตลาดหมี เพื่อที่จะสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสมเมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลงครับ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน