Bond Yield สหรัฐฯ สูง สัญญาณโลกแตก หรือตกใจไปเอง ?
17 มิถุนายน 2568 · อ่าน 3 นาที
รัฐบาลมีรายได้หลักจากการเก็บภาษี เพื่อนำเงินไปใช้จ่าย เช่น สร้างถนน สร้างสะพาน สวัสดิการ ฯลฯ แต่เมื่อ “รายจ่าย” มากกว่า “รายได้” ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การขาดดุลการคลัง” (Deficit) ทำให้รัฐต้องยืมเงินด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาล (Treasury Bond) มานั่นเอง ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ มีการขาดดุลทางการคลังมาไม่หยุดตั้งแต่ปี 2002!
พันธบัตรรัฐบาล เป็นหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ (Fixed Income) เป็นการยืมเงินจากนักลงทุน โดยสัญญาว่าจะจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ย (Coupon) อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายถูกกำหนดโดยความต้องการของนักลงทุน หากมีคนอยากลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมากกว่าจำนวนที่ออก รัฐก็ไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยแพง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงสามารถออก Treasury Bond ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำมาได้เรื่อย ๆ เพราะมีความน่าเชื่อถือมากหลายจนคนมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven)
แต่ Coupon ที่รัฐจ่ายไม่ใช่สิ่งที่นักลงทุนได้จริง ๆ เสมอไป เพราะอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับเรียกว่า “Bond Yield” ที่ขึ้นอยู่กับราคาที่นักลงทุนซื้อพันธบัตรนั้น ๆ
ยกตัวอย่าง
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี มูลค่า 1,000 ดอลลาร์ จ่ายดอกเบี้ย 40 ดอลลาร์ (4%) ต่อปี ปีละ 1 ครั้ง
ซื้อที่ราคา 1,000 ดอลลาร์ → ได้ Yield 4% ต่อปี
ซื้อที่ราคา 900 ดอลลาร์ → ได้ Yield 5.315% ต่อปี
ซื้อที่ราคา 1,100 ดอลลาร์ → ได้ Yield 2.837% ต่อปี
พันธบัตรจ่ายดอกเบี้ยเท่าเดิมทุกปี แต่ราคาเปลี่ยนได้ตามตลาด ถ้าคุณซื้อถูกลง ผลตอบแทนที่ได้จริงก็จะเยอะขึ้นเอง !
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อ Yield คือ “ดอกเบี้ยนโยบาย” ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หาก Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ตลาดก็จะคาดว่าพันธบัตรรุ่นใหม่ที่จะออกในอนาคตควรให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นตาม ราคาพันธบัตรเก่าจึงต้องลดลง
แล้วใครอยากได้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ?
ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการเงินดอลลาร์ในบัญชีเงินสำรอง
ธนาคารขนาดใหญ่และประกันภัย เพื่อบริหารความเสี่ยง
กองทุนบำเหน็จบำนาญ และกองทุนรวม เพื่อหาผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
นักลงทุนรายย่อย ผ่าน ETF หรือกองทุน
เพราะมองว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ “ปลอดภัยและสภาพคล่องสูง”
นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังถูกใช้เป็นมาตรฐานในการออกสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ด้วย เช่นสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน รวมถึงหุ้นกู้
การที่ Yield พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 30 ปี (US30Y) แตะ 5% ในเดือนที่ผ่านมาแปลว่า “ราคาพันธบัตรเก่าที่ดอกเบี้ยน้อยกว่านี้ร่วงแรงมาก” จนเกิดความกังวลในตลาดว่ามูลค่าทรัพย์สินของธนาคารต่าง ๆ จะลดลง จนอาจนำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพทางการเงินเหมือนที่เกิดกับ Silicon Valley Bank (SVB) เมื่อเดือนมีนาคม 2023
แต่จริง ๆ แล้ว SVB เป็นกรณีพิเศษ
กลุ่ม Venture Capital เป็นลูกค้าหลักของ SVB ในปลายปี 2022 SVB ถือตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ 55.4% ของสินทรัพย์ทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรระยะยาวอายุ 10–30 ปี เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เร่งขึ้นดอกเบี้ย พันธบัตรที่ออกใหม่ก็ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้พันธบัตรเดิมราคาตกลงอย่างหนัก SVB จำเป็นต้องขายพันธบัตรบางส่วนที่ขาดทุนเพื่อนำเงินสดมาให้ลูกค้าที่แห่ถอนเงิน แต่การขายขาดทุนนั้นยิ่งทำให้กลุ่มลูกค้าหลักแตกตื่น สุดท้าย หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องเข้าควบคุมกิจการในทันที
ถ้าเราดูงบของธนาคารใหญ่ ๆ จะพบว่า…
พวกเขามีโครงสร้างงบดุลและการบริหารความเสี่ยงที่ “ต่างจาก SVB อย่างสิ้นเชิง”
ยกตัวอย่างเช่น J.P. Morgan กับ Morgan Stanley ในไตรมาสแรกปีนี้
J.P. Morgan ลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้เพียง 15.2% ของสินทรัพย์รวม
Morgan Stanley น้อยกว่านั้นอีก อยู่ที่ 12.2%
นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้รับประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยโดยตรง
J.P. Morgan ระบุว่าหากอัตราดอกเบี้ยขึ้น 1% → รายได้จากดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income, NII) จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์ใน 12 เดือนหน้า
Morgan Stanley ก็จะได้ NII จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง เพิ่มขึ้น 285 ล้านดอลลาร์ จากการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดียวกัน
และที่สำคัญ ธนาคารขนาดใหญ่อย่าง J.P. Morgan และ Morgan Stanley ยังมีฐานเงินฝากที่หลากหลาย และไม่ได้พึ่งพาตราสารหนี้ระยะยาวในสัดส่วนสูงเหมือน SVB จึงยังไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอาจเผชิญปัญหาเสถียรภาพจากการที่ Bond Yield ปรับตัวขึ้นในรอบนี้
สรุปคือ Bond Yield ที่ขึ้นไม่ใช่สัญญาณโลกแตก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม
ในด้านหนึ่ง… ธนาคารใหญ่ยังรับมือได้ดี และยังไม่มีสัญญาณความเปราะบางเหมือน SVB
แต่อีกด้านหนึ่ง… ถ้าอัตราผลตอบแทนของ “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างพันธบัตรสูงขึ้น ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ในการถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นตาม แถมนักลงทุนไทยยังต้องระวังความเสี่ยงจากค่าเงินหากลงทุนในสินทรัพย์ดอลลาร์
เพราะฉะนั้นถึงจะไม่แตกตื่น ก็ไม่ควรละเลย
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
https://www.morganstanley.com/content/dam/msdotcom/en/about-us-ir/shareholder/10q0325.pdf
https://d18rn0p25nwr6d.cloudfront.net/CIK-0000719739/f36fc4d7-9459-41d7-9e3d-2c468971b386.pdf
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์