หุ้นเดียวกัน แต่อำนาจโหวตไม่เท่ากัน
22 กรกฎาคม 2568 · อ่าน 3 นาที
สงสัยมั้ยว่าทำไม Alphabet ถึงมีทั้งหุ้น GOOG และ GOOGL หรือทำไม Mark Zuckerberg คุม Meta ทั้ง ๆ ที่ถือหุ้นไม่ถึงครึ่ง ?
เพราะว่า “โครงสร้างหุ้นสองระดับ” (Dual-class share structure) หรือการแบ่งหุ้นสามัญออกเป็นสองชนิด
คืออะไร ? ทำไปทำไม ? ลองมาดูเรียนรู้จากตัวอย่างในชีวิตจริงกันครับ 👇
🔎 โครงสร้างหุ้นสองระดับคืออะไร ?
คือการที่บริษัทแบ่งหุ้นสามัญออกเป็นหลายประเภท เช่น Class A และ Class B โดยต่างกันในเรื่องสิทธิ์ออกเสียงและเงินปันผล มักจะมีประเภทหนึ่งขายให้คนทั่วไป ซึ่งอาจมีสิทธิ์โหวตจำกัดหรือไม่มีเลย ขณะที่หุ้นอีกประเภทที่ผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารถือไว้ จะมีสิทธิ์ออกเสียงมากกว่าและควบคุมทิศทางบริษัทได้
💡 ตัวอย่าง: Alphabet (บริษัทแม่ของ Google)
Alphabet มีหุ้นสามัญ 3 ประเภทคือ
- Class A (GOOGL): มีสิทธิ์โหวต 1 เสียง
- Class B: ไม่ขายในตลาด มีสิทธิ์ 10 เสียง
- Class C (GOOG): ไม่มีสิทธิ์โหวตเลย
จากรายงานประจำปี 2024 Alphabet ระบุว่า
Larry Page และ Sergey Brin ผู้ก่อตั้งบริษัท เป็นเจ้าของ 87.4% ของ หุ้น Class B ทั้งหมด
ทั้งคู่จึงมีอำนาจเสียงรวมกัน 52.1% ของสิทธิ์โหวตทั้งหมด
💡 ตัวอย่าง: Meta
Meta มีหุ้นสามัญ 2 ประเภทคือ
- Class A (META): หุ้นสำหรับคนทั่วไป มี 1 เสียง
- Class B: หุ้นที่ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารถือ มี 10 เสียง
ในรายงานไตรมาสแรกปี 2025 Meta ระบุว่า
หุ้น Class B มีผู้ถืออยู่เพียง 24 คนเท่านั้น และ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง ประธาน และ CEO มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่จึงมีอำนาจควบคุมผลลัพธ์ของทุกเรื่องที่เสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติ
🤔 ทำไปทำไม ?
เหตุผลหลัก ๆ ที่ผู้ก่อตั้งบริษัทออกแบบโครงสร้างประเภทนี้คือ…
✅ควบคุมทิศทางระยะยาว
นักลงทุนทั่วไปอาจสนใจกำไรระยะสั้น แต่ผู้บริหารอยากลงทุนกับเป้าหมายใหญ่ในระยะ 5–10 ปี การมีสิทธิ์โหวตมากกว่าจึงช่วยให้ทีมบริหารเน้นการเติบโตระยะยาวได้
✅ ป้องกันการถูกครอบงำกิจการ
ถ้าผู้ก่อตั้งถือหุ้นประเภทที่มีอำนาจโหวตมากกว่า ก็ยากที่ใครจะเข้ามาซื้อกิจการโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ
✅ ได้เงินจาก IPO โดยไม่เสียอำนาจ
บริษัทสามารถระดมทุนจากคนทั่วไปผ่าน IPO ได้เต็มที่ แต่ยังคงอำนาจการตัดสินใจหลักไว้ในมือของผู้ก่อตั้งและทีมบริหาร
⚖️แล้วดีหรือแย่สำหรับนักลงทุนทั่วไป ?
✅ ข้อดี
- บริษัทมีเสถียรภาพ ไม่ต้องตอบสนองแรงกดดันจากตลาดในทุกช่วงสั้น
- แผนระยะยาวมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น เพราะคนวางแผนคือคนที่ควบคุมเสียงโหวต
- ลดโอกาสถูก Hostile Takeover
❌ข้อเสีย
- นักลงทุนทั่วไป แทบไม่มีสิทธิ์โหวตในการตัดสินใจสำคัญ
- อำนาจกระจุกตัวอยู่ในมือคนไม่กี่คน และอาจใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
- ราคาหุ้น Class A อาจจะต่ำกว่าที่ควร เพราะอำนาจโหวตน้อย
👀 รู้หรือไม่ ?
มีบางบริษัทใน Nasdaq ที่ผู้บริหารระดับสูงไม่ได้ถือหุ้น Class A เลยแม้แต่หุ้นเดียว แต่สามารถควบคุมมากกว่า 80% ของเสียงทั้งหมดได้ เพราะถือหุ้น Class B ที่มี 20 เสียงต่อหุ้นทั้งหมด!
ตามกฎของ Nasdaq บริษัทที่มีบุคคล กลุ่มคน หรือบริษัทอื่นถือสิทธิ์โหวตเกิน 50% จะเรียกว่า Controlled Company
บริษัทแบบนี้สามารถขอ “ยกเว้น” ไม่ต้องทำตามกฎธรรมาภิบาลบางข้อ เช่น:
- ไม่ต้องมีคณะกรรมการอิสระส่วนใหญ่
- ไม่ต้องมีคณะกรรมการค่าตอบแทนอิสระ
- ไม่ต้องมีคณะกรรมการเสนอชื่อกรรมการอิสระ
แต่บริษัทจะต้องเปิดเผยข้อมูลในรายงานประจำปี ว่าตัวเองอยู่ในสถานะ Controlled Company
🗒️ Note:
ถ้าอยากรู้ว่าบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ มีโครงสร้างหุ้นแบบไหน
- บริษัทอเมริกัน: ดูได้จาก Form 10-K (รายงานประจำปี) และ Form 10-Q (รายไตรมาส)
- บริษัทต่างชาติ: ใช้ Form 20-F แทน
เอกสารทั้งหมดหาได้ฟรีที่หน้า Investor Relations ของบริษัท หรือที่เว็บไซต์ SEC: www.sec.gov
ส่วนในประเทศไทย บริษัทจดทะเบียนสามารถออกและเสนอขายหุ้นสามัญได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น โดยมีสิทธิออกเสียงโหวตเท่ากันหมดทุกหุ้น
สุดท้ายแล้ว... หุ้นก็คือ “การมีส่วนร่วมในบริษัท”
แต่ถ้าหุ้นของเราไม่มีเสียงโหวตเลย แล้วเรายังเป็น “เจ้าของ” จริง ๆ อยู่หรือเปล่านะ ?
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์