KKP Dime บริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร
Share modal

Options คืออะไร? ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ถ้ามี Dime! ช่วยอธิบาย

2 กรกฎาคม 2568 · อ่าน 5 นาที

หุ้น
copy link

Img 2464 720

 

เริ่มจากคำถามพื้นฐานเลย Options คืออะไร?

:sparkle: Options (ออปชัน) คือ “สัญญาที่ให้คุณมีสิทธิ์”ในการซื้อหรือขายหุ้นตัวหนึ่ง ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยที่คุณ ไม่จำเป็นต้องซื้อ หรือขาย หุ้นนั้นจริงก็ได้

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ..
คุณไม่ได้ซื้อของจริง แต่ซื้อคูปองสิทธิ์ในการซื้อของ ถ้าเห็นว่ามีกำไร ก็ค่อยใช้คูปองนั้น

:athletic_shoe: ลองนึกภาพแบบนี้ก่อน

สมมติคุณอยากได้รองเท้า Yeezy รุ่นลิมิเต็ด แต่ยังไม่แน่ใจว่าราคาจะขึ้นหรือเปล่า ร้านเลยมีข้อเสนอให้คุณ จ่าย $10 เพื่อ ล็อกสิทธิ์ ว่าจะซื้อรองเท้านี้ในราคา $200 ภายใน 30 วัน

:chart_with_upwards_trend: ถ้าราคาตลาดพุ่งเป็น $400 คุณใช้สิทธิ์ซื้อ $200 แล้วขาย $400 จะได้กำไร $200

:chart_with_downwards_trend: ถ้าราคาตลาดตกเหลือ $150 คุณไม่ซื้อก็ได้ เสียแค่ $10 ที่จ่ายไว้ตอนแรก

นี่คือตัวอย่างหลักการของ “Call Option” คุณไม่ต้องซื้อของจริงตอนนี้ แค่ซื้อ “สิทธิ์ในการซื้อ” เท่านั้นเอง

:chart_with_upwards_trend: ถ้าเอามาใช้กับหุ้นล่ะ?

ลองเปลี่ยนจากรองเท้า เป็นหุ้น Apple (AAPL)
ถ้าตอนนี้ราคาหุ้น AAPL อยู่ที่ $180 คุณคิดว่าอีกไม่กี่วันราคาจะขึ้นแน่นอน เพราะ Apple จะเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่

 

:money_with_wings: คุณจึงซื้อ Call Option แบบนี้
Strike Price (ราคาที่คุณมีสิทธิ์ซื้อ) $180
Option Premium (ราคาออปชัน หรือ ค่าซื้อสิทธิ์) $0.5 ต่อหุ้น
Expiration Date (วันหมดสิทธิ์) อีก 14 วัน

ถ้าอีก 7 วัน ราคาหุ้นพุ่งไป $200

คุณสามารถได้กำไร 2 วิธี

:repeat: กรณีที่ 1: ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น แล้วขาย
คุณใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นในราคา $180 แล้วขายที่ $200
กำไรต่อหุ้น = $20 – $0.5 = $19.5
ถ้าคุณถือ Option 1 สัญญา (100 หุ้น)

ได้กำไรรวม $1,950 จากเงินลงทุน $50

:repeat: กรณีที่ 2: ไม่ใช้สิทธิ์ แต่ขาย Option ทิ้ง
เมื่อหุ้นขึ้นจาก $180 เป็น $200
มีความน่าจะเป็นที่ราคา Premium จะสูงขึ้น ทำให้ราคา Option มีราคาสูงขึ้นตาม

จากเดิมที่คุณซื้อไว้ในราคา $0.5/หุ้น
ตอนนี้ Premium อาจขึ้นเป็น $1/หุ้น

หากคุณยังไม่ได้ใช้สิทธิ์อะไรเลย
คุณสามารถ “ขาย Option นี้” ในตลาด ที่ราคา $1/หุ้น
ขายทั้งสัญญา (100 หุ้น) = $100

ได้กำไร $50 จากต้นทุน $50 คิดเป็นอัตรากำไร 100 %

:pushpin: กำไรจากกรณีที่ 2 อาจน้อยกว่าการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นจริง ในกรณีแรก
แต่กรณีที่ 2 ไม่ต้องควักเงินเพิ่มอีก $18,000 เพื่อใช้สิทธิ์ในการซื้อหุ้น
เพราะแค่ขาย Option ทิ้ง ก็ทำกำไรได้จากส่วนต่างของราคา โดยใช้แค่เงินค่า Premium ที่จ่ายไว้ตั้งแต่ต้น

:rotating_light: แต่ถ้าราคาไม่ขยับ หรือร่วง
คุณไม่ใช้สิทธิ์ก็ได้ จะเสียแค่ Premium $0.5 × 100 = $50
ขาดทุนสูงสุดจะจำกัดอยู่เพียงค่า Premium เท่านั้น

แล้วถ้ามองว่าหุ้นจะ “ลง” ล่ะ?

:blue_car: คราวนี้ลองเปลี่ยนเป็นหุ้น Tesla (TSLA)
ตอนนี้ราคาอยู่ที่ $250
คุณคิดว่าอีกไม่กี่วัน หุ้นจะร่วง เพราะมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับยอดขายรถ EV

:money_with_wings: คุณจึงซื้อ Put Option หรือ “สิทธิ์ลุ้นตอนตลาดร่วง” แบบนี้
Strike Price (ราคาที่คุณมีสิทธิ์ขาย) = $250
Premium (ค่าซื้อสิทธิ์) = $0.5 ต่อหุ้น
Expiration Date (วันหมดสิทธิ์) อีก 14 วัน

:chart_with_downwards_trend: ถ้าอีก 7 วัน ราคาหุ้นร่วงลงไปเหลือ $230
คุณใช้สิทธิ์ “ขาย” ที่ $250 ทั้งที่ตลาดซื้อขายกันแค่ $230
กำไรต่อหุ้น = $20 – $0.5 (Premium) = $19.5/หุ้น
ถ้าคุณถือ Option 1 สัญญา (= 100 หุ้น)

ได้กำไร $1,950 จากเงินลงทุนแค่ $50

:grimacing: แต่ถ้าหุ้นไม่ร่วง หรือดันขึ้น
คุณไม่ใช้สิทธิ์ก็ได้ จะเสียแค่ Premium $0.5 × 100 = $50
ขาดทุนสูงสุดคือเงินที่จ่ายค่า Premium เท่านั้น

อธิบายคำศัพท์ในโลก Options

:white_check_mark: Call Option คือ ซื้อสิทธิ์ลุ้นหุ้นขึ้น เช่น คิดว่า AAPL จะขึ้นจาก $180 เป็น $200 เลยซื้อ Call Option ไว้ล่วงหน้า

:no_entry: Put Option คือ ซื้อสิทธิ์ลุ้นหุ้นลง เช่น คิดว่า TSLA จะร่วงจาก $250 เลยซื้อ Put Option เพื่อขายล่วงหน้าในราคาสูง

:dart: Strike Price คือ ราคาใช้สิทธิ์ หรือราคาที่ตกลงกัน เช่น Call Option ของ AAPL มี Strike Price $180
แปลว่า ถ้าใช้สิทธิ์จะซื้อหุ้น AAPL ได้ที่ $180

:moneybag: Option Premium หรือ ราคาออปชัน คือ ค่าซื้อสิทธิ์ ไม่ว่าคุณจะใช้สิทธิ์หรือไม่ คุณก็ต้องจ่าย
ซึ่งถ้ามองผิดทาง จะเสียเงินก้อนนี้เต็มจำนวน
แต่ถ้ามองถูก จะได้กำไรมาก เช่น จ่าย Premium $0.05 ต่อหุ้น ถ้าถือ 1 สัญญา (100 หุ้น) = จ่าย $5 เพื่อสิทธิ์นั้น

:alarm_clock: Expiration คือ วันหมดอายุสิทธิ์ คุณต้องตัดสินใจภายในวันนี้ ว่าจะใช้สิทธิ์หรือไม่
ถ้าลืมหรือช้าเกินไป Option จะหมดค่า ทิ้งสิทธิ์ไปเลย

 

ซื้อหุ้นจริง vs ซื้อ Options ต่างกันยังไง?

ถ้าคุณซื้อหุ้นจริง เช่น หุ้น Apple (AAPL) ราคา $180
คุณต้องมีเงิน $180 ถึงจะซื้อได้ 1 หุ้น
ถ้าอยากได้ 100 หุ้น ก็ต้องมี $18,000

แต่ถ้าคุณซื้อ Options คุณอาจจ่ายแค่ $5 เพื่อซื้อสิทธิ์ในการควบคุมหุ้น 100 หุ้นแทน
ถ้าหุ้นขึ้นแรง คุณใช้สิทธิ์ซื้อถูก ขายแพง ทำให้ได้กำไรมากขึ้น หรืออาจขาย Option ที่มีราคาขึ้นก็ได้
แต่ถ้ามองผิด จะขาดทุนสูงสุดแค่ $50 ที่คุณจ่ายไปตอนแรก

ลงทุนหุ้นจริง = ต้องใช้เงินเยอะ และรับความเสี่ยงขาดทุน
ซื้อ Options = ใช้เงินน้อยกว่า แต่ต้องเดาให้แม่น และมีเวลาจำกัด

:rotating_light: แล้ว Options ต้องระวังอะไรบ้าง?

:hourglass_flowing_sand: Options มีวันหมดอายุ ถ้าไม่ตัดสินใจในเวลา จะเสียสิทธิ์ทันที
:exploding_head: ต้องเข้าใจภาพรวมทั้งทิศทางตลาดและกรอบเวลา
:money_with_wings: ถ้ามองผิดทาง ค่า Premium ที่จ่ายไปอาจกลายเป็นศูนย์

 

สรุปสั้น ๆ แบบสุด ๆ

:chart_with_upwards_trend: ซื้อหุ้นจริง หากได้กำไรจะใช้เวลานาน ค่อย ๆ เติบโต
:money_with_wings: ซื้อ Options ถ้าเดาถูกทาง จะได้กำไรในเวลาอันรวดเร็ว และจะขาดทุนเร็วเช่นกัน หากเดาผิดทาง

 

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบ ผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

 


Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม 

เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE

[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาทสื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์

KKP Dime บริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร

KKP Dime
เป็นบริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร

img-qr-code
img-qr-ring
สแกนเพื่อ
ดาวน์โหลด
แอป Dime!
ผลิตภัณฑ์
ออมเงินลงทุนจัดการ
กฎหมายและข้อบังคับ
ประกาศนโยบายการใช้คุกกี้ประกาศความเป็นส่วนตัวใบอนุญาตประกอบธุรกิจฯ
facebookinstagramtwittertiktoklineblockdit
© สงวนลิขสิทธิ์ บริษัท หลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด