รู้ให้ครบเรื่องค่าธรรมเนียมกองทุนรวม
18 กุมภาพันธ์ 2567 · อ่าน 2 นาที
การลงทุนในกองทุนรวม ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนหลายๆ คน เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี แต่ก่อนจะเลือกลงทุน สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ "ค่าธรรมเนียม" ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละกองทุน หากไม่ศึกษาให้ดี ผลตอบแทนที่ได้อาจลดลงโดยไม่รู้ตัว
แล้ว "ค่าธรรมเนียม" มีอะไรบ้าง ?
โดยทั่วไป ค่าธรรมเนียมกองทุนรวม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากนักลงทุน
นักลงทุนจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมส่วนนี้ทันที ทุกครั้งที่มีการ “ซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยน” หน่วยลงทุน เช่น
🔹 ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) : จะเก็บเมื่อนักลงทุนซื้อกองทุน โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าเงินลงทุน เช่น มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เป็นคนขายหน่วยลงทุนให้เรา เช่น ลงทุน 10,000 บาท มีค่าธรรมเนียมการขาย 1% จะต้องจ่าย 100 บาท
🔹 ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee) เรียกเก็บเมื่อนักลงทุนขายหน่วยลงทุน โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันขาย
🔹 ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน (Switching Fee) เกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนต้องการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุนหนึ่งไปยังอีกกองทุนหนึ่ง ซึ่งอยู่ใน บลจ. เดียวกัน
2. ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากกองทุนรวม
ส่วนนี้นักลงทุนมักจะไม่ค่อยรู้ตัว เพราะเป็นการเก็บค่าธรรมเนียมในทางอ้อม ซึ่งจะหักออกจากมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่แล้วทุกวัน ตามการอัปเดตมูลค่า NAV ทุกสิ้นวัน เช่น
🔸 ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) เป็นค่าตอบแทนของ บลจ. ที่บริหารจัดการกองทุน เช่น การวิเคราะห์หลักทรัพย์ การตัดสินใจลงทุน โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปีจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV)
🔸 ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) เป็นค่าตอบแทนของผู้ดูแลผลประโยชน์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของกองทุน ให้เป็นไปตามกฎหมาย และรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน
🔸 ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน (Registrar Fee) เป็นค่าตอบแทนของนายทะเบียน ที่ทำหน้าที่จัดทำทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน และดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
🔸 ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ ค่าตรวจสอบบัญชี ค่าที่ปรึกษา
แล้วค่าธรรมเนียมมีผลต่อการลงทุนยังไง ? 🤔
ลองนึกภาพตาม ถ้าเรามีตัวเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นจีนอยู่ 2 กอง ซึ่งมีความเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือ ค่าธรรมเนียม
สมมุติว่ากองทุนรวม A เก็บค่าธรรมเนียม 1.07% ต่อปี ส่วนกองทุนรวม B เก็บค่าธรรมเนียม 1.65% ต่อปี
หากเราเริ่มลงทุนด้วยเงิน 100,000 บาท เท่ากันทั้ง 2 กอง เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี กองทุนรวม A จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 1,070 บาท ส่วนกองทุนรวม B จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 1,650 บาท
มองผ่าน ๆ อาจยังไม่รู้สึกต่างกันเท่าไหร่ ทีนี้ลองกำหนดให้ระยะเวลาลงทุนติดต่อกัน 10 ปี โดยไม่ซื้อเพิ่มหรือถอนหน่วยลงทุนออกมาเลย
และสมมุติให้กองทุนรวมทั้ง 2 กอง สร้างผลตอบแทนได้เท่ากันปีละ 8% เพราะลงทุนในหุ้นจีนเหมือนกันทุกประการ
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี เงินลงทุนในกองทุนรวม A จะกลายเป็น 195,432 บาท ส่วนกองทุนรวม B จะเป็น 185,087 บาท
📌 เห็นมั้ยครับ ความต่างของค่าธรรมเนียม มีผลต่อผลตอบแทนของเรามากแค่ไหน
ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกกองทุนรวม เราจึงควรดูค่าธรรมเนียมประกอบด้วย
5 พฤติกรรมช่วยลดภาระค่าธรรมเนียม...ลงทุนอย่างชาญฉลาด
1. ศึกษาข้อมูลค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจลงทุน โดยดูในหนังสือชี้ชวน หรือสอบถามจาก บลจ. โดยตรง
2. เลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ แต่ต้องพิจารณาถึงผลการดำเนินงาน นโยบายการลงทุน และความเสี่ยงของกองทุนประกอบกันด้วย
3. ลงทุนระยะยาว เพื่อลดผลกระทบจากค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง เช่น ค่าธรรมเนียมการขาย หรือค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน
4. พิจารณาลงทุนในกองทุนรวมประเภท Passive Fund เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ซึ่งมีค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำกว่ากองทุนรวมประเภท Active Fund
5. ใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่น บาง บลจ. อาจมีโปรโมชั่นยกเว้นค่าธรรมเนียม เช่น ค่าธรรมเนียมการขาย หรือค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยน ในช่วงเวลา tertentu
อ้างอิง
www.set.or.th
Dime! แอปที่จะเปลี่ยนให้การเงินเป็นเรื่องของทุกคน และเราก็อยากให้ทุกคนมาร่วมพัฒนาแอปนี้ไปด้วยกัน
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่
ติดต่อเราได้เลยทาง Facebook หรือ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์