Intel ชูธง “Made in USA” ทวงคืนบัลลังก์เจ้าแห่งชิป
8 กรกฎาคม 2568 · อ่าน 3 นาที
ถ้าใครเคยเล่นเกมบนคอมหรือทำงานกราฟฟิกช่วงปี 2016 อาจคุ้นหูกับคำว่า “Team Blue” กับ “Team Green” เพราะตอนนั้นใครจะประกอบคอมแรง ๆ ก็มักจะเลือก Intel i7 คู่กับ GTX 1080 จาก Nvidia ส่วน “Team Red” อย่าง AMD ยังถูกมองว่าโปรเซสเซอร์ทั้งร้อน ทั้งช้า ใช้งานไม่ลื่นไหลเท่า
แต่ผ่านมาไม่กี่ปี ทุกอย่างเปลี่ยนไป Nvidia ชื่อเสียงโด่งดัง เป็นเจ้าของตลาด AI ส่วน AMD พัฒนาชิปจนแรงและคุ้มทำไม Intel (INTC) อดีตเบอร์หนึ่งถึงดูล้าหลังกว่าเพื่อนร่วมวงการ ? แล้ว Intel ยังพอมีโอกาสกลับมาทวงบัลลังก์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้อีกหรือไม่ ?
📱 ก่อนอื่น… “ชิป” และ “เซมิคอนดักเตอร์” คืออะไรกันนะ ?
“ไมโครโปรเซสเซอร์ชิป” (Microprocessor chip) เป็นเหมือน “สมอง” ของโทรศัพท์ คอม หรือแม้กระทั่งรถของเรา ที่ใช้ประมวลผลข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น เปิดแอป เล่นเกม ดูหนัง หรือใช้งาน AI ซึ่งชิปถูกสร้างมาจากวัสดุพิเศษเรียกว่า “เซมิคอนดักเตอร์” หรือ “สารกึ่งตัวนำ” โดยปกติเป็นแร่ซิลิคอน (Silicon) เพราะแร่นี้มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่มันควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าได้ ไม่นำไฟฟ้าเต็มที่แบบโลหะ แต่ก็ไม่กันไฟฟ้าเหมือนฉนวน และซิลิคอนเป็นแร่ที่หาได้ง่ายมาก ทรายจากทรายหาดก็ประกอบด้วยซิลิคอน
🦾 ชิปสำคัญยังไง ? อะไรคือ “สงครามชิป” ?
นอกจากสิ่งของรอบตัวเราแล้ว ชิปยังมีบทบาทสำคัญในการฝึก AI และการผลิตอุปกรณ์ทางทหารอย่างขีปนาวุธข้ามทวีป การผลิตชิปจึงเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ แต่การจะผลิตชิป 1 ชิปนั้นยากมาก ๆ ต้องใช้ความร่วมมือจากหลายประเทศ หลายบริษัท และใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ความแม่นยำระดับนาโนเมตร ซึ่งมีเพียงไม่กี่บริษัทในโลกที่ทำได้ และในปัจจุบัน ไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถผลิตชิปได้ครบทุกขั้นตอนภายในประเทศ 100% โดยเฉพาะชิประดับสูงที่ใช้ใน AI หรือยุทโธปกรณ์ขั้นสูง
ปัญหาคือ ทุกวันนี้โลกพึ่งพาไต้หวันเป็นหลัก โดยเฉพาะบริษัท TSMC ซึ่งในไตรมาสแรกปีนี้ ครองส่วนแบ่งตลาดการผลิตชิปถึง 67.6% ของทั้งโลก ขณะที่ Intel ยังไม่ติดแม้แต่ Top 10
การพึ่งพาเพียงแค่ผู้ผลิตเจ้าเดียวในภูมิภาคเดียวแบบนี้ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของโลกเปราะบางมาก หากเกิดความขัดแย้งหรือภัยธรรมชาติขึ้นในไต้หวัน บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอาจต้องหยุดผลิตสินค้าทันที
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วคือวิกฤตชิปในปี 2021 เพราะโควิด ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ รายงานว่าเศรษฐกิจสหรัฐ หดตัวไปกว่า 240,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1% ของ GDP เพราะขาดแคลนชิป และ อุตสาหกรรมยานยนต์ผลิตรถได้น้อยลงถึง 7.7 ล้านคัน
ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่ “สงครามชิป” คือการเร่งสะสมเทคโนโลยี การลงทุนในโรงงานใหม่ และการพยายามลดการพึ่งพาประเทศอื่นให้ได้มากที่สุด
🔍 แล้วชิป 1 ตัว ต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง ?
1. การออกแบบ (Design) – วางแผนว่าชิปจะทำงานยังไง
- ผู้นำ: Nvidia, AMD, Apple (สหรัฐ)
- ใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะจาก Cadence หรือ Synopsys (สหรัฐ) หรือลิขสิทธิ์แบบจาก Arm (สหราชอาณาจักร)
2. การผลิต (Fabrication) – พิมพ์วงจรไฟฟ้าลงบนแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนด้วยเครื่องจักรระดับนาโน
- ผู้นำ: TSMC (ไต้หวัน), Samsung (เกาหลีใต้)
- ใช้เครื่องพิมพ์นาโนจาก ASML (เนเธอร์แลนด์)
3. การประกอบและทดสอบ (Assembly & Test) – ตัดเวเฟอร์ แพ็คเกจ และทดสอบก่อนส่งมอบ
- ผู้นำ: ASE (ไต้หวัน), Amkor (เกาหลีใต้) มีโรงงานในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม
🦕 เกิดอะไรขึ้นกับ Intel?
แทบทุกบริษัทจะต้องเลือกว่าจะเชี่ยวชาญด้านการออกแบบแล้วจ้างคนอื่นผลิต (Nvidia) หรือเป็นโรงงานรับจ้างผลิต อย่าง TSMC ที่ไม่ออกแบบเองเลย มีเพียง 2 บริษัทในโลกที่ ออกแบบ + ผลิต + ประกอบชิประดับนาโนเมตรได้เองครบวงจร คือ Samsung และ Intel เท่านั้น
ถึง Intel จะเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทในโลกที่สามารถผลิตชิปเองได้ครบวงจร แต่ก็ยังไม่พอที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้ เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา Intel พลาดโอกาสทองหลายครั้งที่เปลี่ยนทิศทางของวงการไปเลย
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือตอนที่ Apple กำลังมองหาผู้ผลิตชิปให้ iPhone รุ่นแรก ปี 2007 และเสนอให้ Intel ทำ แต่ Intel กลับปฏิเสธ ส่งผลให้ Apple หันไปใช้ดีไซน์จาก Arm ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานของชิปในสมาร์ตโฟนทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้
ในด้านของ CPU ในปี 2017 AMD เปิดตัว Ryzen ที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมหรือดีกว่า Intel แต่ราคาถูกกว่า ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Intel ในหมู่เกมเมอร์และผู้ใช้งานหนักลดลงไปเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ Intel ยังเคยมีโอกาสลงทุนใน OpenAI ตั้งแต่ปี 2017 แต่ก็เลือกที่จะไม่ลงทุน ซึ่งหาก Intel ตัดสินใจรับข้อเสนอในตอนนั้น อาจทำให้ชิปของ Intel กลายเป็นหัวใจของ AI ในยุคนี้ก็เป็นได้
ฝั่งการ์ดจอ (GPU) Intel เคยมีความพยายามบุกตลาดนี้ตั้งแต่ยุค 90 ด้วยชิปชื่อ i740 แต่ก็ถอนตัวไปโฟกัสที่กราฟิกแบบรวมใน CPU แทน ในขณะที่ Nvidia เดินหน้าต่อ จนกลายเป็นเบอร์หนึ่งด้านการ์ดจอและชิป AI อย่างทุกวันนี้
ฝั่งการผลิต Intel ก็เผชิญความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีการผลิตชิปรุ่นใหม่ขนาดเล็กลง (เช่น 7nm, 5nm) ที่ล่าช้ากว่าคู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung หลายปี ทำให้บริษัทเหล่านั้นได้เปรียบทั้งในด้านเทคโนโลยีและความน่าเชื่อถือ ล่าสุดในปี 2024 Intel ยังถูกฟ้องรวมกลุ่มจากผู้บริโภคในหลายคดีเกี่ยวกับปัญหาความเสถียรของชิปรุ่น Raptor Lake รุ่นที่ 13 และ 14 ที่ทำให้ชื่อเสียงด้านคุณภาพสั่นคลอน
แม้จะเผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่ Intel ก็ยังถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีบทบาทใหญ่ในวงการ โดยรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 53,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งกว่า 1 ใน 3 มาจากธุรกิจ Foundry หรือโรงงานรับจ้างผลิตชิป และแม้กำไรสุทธิของ Intel จะติดลบมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่จุดแข็งที่สำคัญคือ โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ที่กระจายอยู่หลายแห่งนอกเอเชีย โดยเฉพาะ โรงงานผลิตเวเฟอร์ในสหรัฐ ไอร์แลนด์ และอิสราเอล รวมถึงโรงงานประกอบและทดสอบในมาเลเซีย เวียดนาม และจีน
ซึ่งในยุคที่โลกกำลังตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การมีโรงงานอยู่นอกไต้หวันกลายเป็นจุดแข็งที่มี “มูลค่าทางยุทธศาสตร์” อย่างมหาศาล หลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐไม่อยากพึ่งพาการผลิตจากไต้หวันเพียงแห่งเดียว เพราะไม่ต้องการซ้ำรอยวิกฤตชิปในปี 2021 Intel จึงชูจุดขายว่า “เราคือหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ไม่ต้องพึ่งโรงงานจากเอเชียทั้งหมดเหมือนคู่แข่ง” และตอนนี้ก็กำลังเร่งขยายธุรกิจ Foundry เพื่อแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง TSMC และ Samsung โดยตรงในตลาดชิประดับสูง
🟦 อนาคตของ Intel
วันนี้ Intel กำลังสร้างตัวตนใหม่เพื่อทวงคืนส่วนแบ่งตลาดที่หายไป ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Intel ได้แต่งตั้ง “Lip-Bu Tan” (ลิพ-บู ทัน) อดีตประธานกรรมการ Cadence Design Systems ผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปี ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่
ภายใต้ CEO คนใหม่ Intel เดินหน้ารื้อโครงสร้างองค์กร ลดชั้นผู้บริหาร และคืนอำนาจให้ทีมวิศวกร เพื่อให้พัฒนาและตัดสินใจได้เร็วขึ้น พร้อมเดินหน้ายกระดับธุรกิจ Foundry Services (โรงงานรับจ้างผลิตชิป) โดยตั้งเป้าเปิดสายการผลิตชิประดับ 1.8 นาโนเมตร “Intel 18A” ภายในสิ้นปี 2025 และเตรียมพัฒนาเทคโนโลยี 1.4 นาโนเมตรตามมา เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้าที่ไม่อยากพึ่ง TSMC หรือโรงงานในไต้หวันเพียงอย่างเดียว
ล่าสุดมีรายงานว่า Microsoft ได้เซ็นดีลใหญ่กับ Intel เพื่อใช้เทคโนโลยี 18A และมีข่าวว่าบริษัทใหญ่อื่น ๆ อย่าง Google กับ Nvidia ก็กำลังเจรจาอยู่ ถ้าเป็นจริง นี่จะเป็นหมากสำคัญที่ทำให้ Intel กลับมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด Foundry ระดับสูงอีกครั้ง
นอกจากนี้ Intel ยังหันมาโฟกัสที่ธุรกิจหลักอย่างชิปสำหรับคอมพิวเตอร์และดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับงาน AI มากขึ้น และบริษัทมีแผนธุรกิจอื่นออกเพื่อนำมาลงทุนต่อในด้านที่สำคัญ
หลังจากพลาดโอกาสสำคัญไปหลายครั้ง วันนี้ Intel กำลังเร่งปรับตัวครั้งใหญ่
โครงสร้างใหม่ วิสัยทัศน์ใหม่ และเทคโนโลยีใหม่ของ Intel จะเร็วพอหรือไม่ในโลกที่ไม่เคยรอใคร ?
แล้วคุณล่ะ คิดว่า Intel จะกลับมาทวงบัลลังก์ในยุค AI ได้หรือไม่ ?
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์