KKP Dime บริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร
Share modal

ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged ETF เครื่องมือ “เสริมแรง” ของนักลงทุน ที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง

14 มีนาคม 2568 · อ่าน 3 นาที

หุ้น
copy link

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 01

ในแวดวงการลงทุนมีเครื่องมือมากมายให้เลือกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้พอร์ตลงทุนของเรา หนึ่งในนั้นคือ Inverse และ Leveraged ETF ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Exchange Traded Fund: ETF) เหมือนหุ้น แต่มีความพิเศษตรงที่แรงกว่า ETF ทั่วไป ทั้งในแง่ของโอกาสทำกำไรและความเสี่ยงที่จะขาดทุน บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ ETF ทั้งสองประเภทนี้แบบเข้าใจง่าย พร้อมทั้งเจาะลึกกลไกที่ทำให้มันแรงอย่างน่าสนใจ และข้อควรระวังในการใช้งาน 

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 02

Inverse ETF เครื่องมือลงทุนในตลาดขาลง 

Inverse ETF คือกองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งออกแบบมาให้มีผลตอบแทนในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีหรือสินทรัพย์อ้างอิง กล่าวคือ เมื่อดัชนีอ้างอิงลดลง 1% Inverse ETF จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1% และในทางกลับกัน หากดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 1% Inverse ETF จะลดลงประมาณ 1%   

โดยผู้จัดการกองทุน Inverse ETF จะใช้เครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และออปชั่น (Options) เป็นส่วนผสมเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิงให้ได้ตามเป้าหมายวางไว้ 

ตัวอย่าง Inverse ETF 

- ProShares Short S&P500 (SH) ที่ให้ผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนี S&P 500 ในอัตราส่วน 1:1 (ถ้า S&P 500 ลง 1% SH จะขึ้นประมาณ 1%) 

- Direxion Daily TSLA Bear 1X Shares (TSLS) ที่ให้ผลตอบแทนตรงข้ามกับหุ้น Tesla ในอัตราส่วน 1:1 (ถ้าหุ้น TSLA ลง 1% TSLA จะขึ้นประมาณ 1%) 

โดย Inverse ETF มีหลายประเภท เช่น แบบ Single-Index Inverse ETF ที่เน้นสร้างผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีตลาดหุ้นโดยเฉพาะ เช่น S&P 500 หรือ NASDAQ-100 ในอัตราส่วน 1:1 หรือแบบ Commodity Inverse ETF ที่เน้นสร้างผลตอบแทนตรงข้ามกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์เฉพาะ เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือสินค้าเกษตร เป็นต้น 

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 03

Leveraged ETF ติดเทอร์โบเพิ่มผลตอบแทน 

การลงทุน Leveraged ETF ก็เหมือนกับการเพิ่มพลังในการทำกำไรให้กับการลงทุน ถ้าคุณมั่นใจว่าตลาดหุ้นกำลังจะขึ้น การลงทุนใน Leveraged ETF จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าตลาดหุ้นลง การขาดทุนก็จะมากขึ้นด้วย 

หลักการง่าย ๆ คือ Leveraged ETF ออกแบบมาให้ “ทวีคูณ” ผลตอบแทนของดัชนีหรือสินทรัพย์ที่มันอ้างอิง เช่น ถ้าดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1% Leveraged ETF ที่มีอัตราทวีคูณ 2 เท่า (2x) จะพยายามเพิ่มขึ้นประมาณ 2% (ก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย) 

และเช่นเดียวกับ Inverse ETF ผู้จัดการกองทุน Leveraged ETF จะใช้เครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนเพื่อเพิ่มความทวีคูณของผลตอบแทน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า และการกู้ยืมเงิน (Leverage) 

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 04

Leveraged Inverse ETF ยาแรงแบบคูณสอง ! 

และเมื่อนำ Inverse ETF และ Leveraged ETF มารวมกัน ก็จะได้ Leveraged Inverse ETF ที่ให้ผลตอบแทน “ตรงข้าม” กับดัชนีอ้างอิง และ “ทวีคูณ” ผลตอบแทนนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น 

- Proshares Ultrashort Semiconductors (SSG) ให้ผลตอบแทนตรงข้าม 2 เท่าของดัชนี Dow Jones U.S. Semiconductors (ถ้าดัชนีลง 1% SSG จะขึ้นประมาณ 2%) 

- Tradr 2X Short TSLA Daily ETF (TSLQ) ให้ผลตอบแทนตรงข้าม 2 เท่าของหุ้น Tesla (ถ้าหุ้น TSLA ลง 1% TSLQ จะขึ้นประมาณ 2%)

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 05

สรุปให้เข้าใจ อะไรคือเครื่องมือและกลไกที่ Inverse และ Leveraged ETF ใช้ ?  

Inverse และ Leveraged ETF ไม่ได้ถือสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรงเหมือน ETF ทั่วไป แต่ใช้เครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนกว่า เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย (ตรงข้ามหรือทวีคูณ) โดยกลไกหลัก ๆ ที่ ETF เหล่านี้ใช้ ได้แก่ 

1. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts)

คือ สัญญาที่ตกลงจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น ดัชนีหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์) ในอนาคต ณ ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า 

โดย Leveraged ETF จะซื้อสัญญา Futures เพื่อ “เดิมพันว่าดัชนีจะขึ้น (Long Position) หรือขายสัญญา Futures เพื่อเดิมพันว่าดัชนีจะลง (Short Position) 

ส่วน Inverse ETF จะขายสัญญา Futures เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง   

ตัวอย่างเช่น Leveraged ETF ที่ต้องการผลตอบแทน 2 เท่าของ S&P 500 อาจซื้อสัญญา S&P 500 Futures ในจำนวนที่เทียบเท่ากับ 2 เท่าของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน 

2. สวอป (Swaps)

คือ สัญญาแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดระหว่างสองฝ่าย โดยอิงกับผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิง 

Inverse และ Leveraged ETF อาจทำสัญญาสวอปกับสถาบันการเงิน (เช่น ธนาคาร) เพื่อแลกเปลี่ยนผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงกับผลตอบแทนที่ต้องการ (ตรงข้ามหรือทวีคูณ) 

ตัวอย่างเช่น Inverse ETF ที่ต้องการผลตอบแทน -1 เท่าของดัชนี อาจทำสัญญาสวอปกับธนาคาร โดยธนาคารจะจ่ายผลตอบแทนของดัชนีให้ ETF และ ETF จะจ่ายผลตอบแทนติดลบของดัชนี (บวกค่าธรรมเนียม) ให้ธนาคาร 

3. การกู้ยืม (Leverage)

Leveraged ETF จะใช้การกู้ยืมเงิน (Borrowing) หรือการใช้มาร์จิ้น (Margin) เพื่อเพิ่มอำนาจในการซื้อหลักทรัพย์ หรือสัญญา Futures ต่าง ๆ  

4. ออปชั่น (Options) (ใช้ในบางกรณี)

คือ สิทธิ์ (แต่ไม่ใช่ภาระผูกพัน) ในการซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ณ ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า 

Inverse ETF บางกองอาจใช้ Put Options เพื่อสร้างผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง หรือ Leveraged ETF อาจใช้ Call Options เพื่อเพิ่มผลตอบแทน 

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 06

ผู้ลงทุนใน Inverse และ Leveraged ETF ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ? 

1. ป้องกันความเสี่ยง (Hedging)

ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มเป็นขาลง Inverse ETF สามารถช่วยลดความเสียหายของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ 

2. เก็งกำไรระยะสั้น (Short-Term Trading)

ทั้ง Inverse และ Leveraged ETF เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะสั้น ๆ 

3. เพิ่มสภาพคล่อง

เนื่องจากซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนหุ้น จึงมีความสะดวกและรวดเร็วในการซื้อขาย 

4. กระจายความเสี่ยง (Diversification)

แม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ Inverse ETF สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้ หากใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสม

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 07

ระวัง ! ภัยเงียบของ Compounding Effect 

เพราะ Inverse และ Leveraged ETF ถูกออกแบบมาเพื่อการลงทุนระยะสั้น (รายวัน) เท่านั้น การถือครองนานกว่า 1 วัน อาจทำให้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่า “Compounding Effect” หรือ “ผลกระทบจากการทบต้น”

ก่อนอื่น มารู้จักกลไก “Rebalancing ปรับสมดุลพอร์ต” หัวใจสำคัญที่นักลงทุนต้องเข้าใจกันก่อน   

ในทุกสิ้นวันทำการหรือตามรอบปรับพอร์ตของแต่ละกองทุน กองทุน Inverse และ Leveraged ETF จะปรับสัดส่วนการลงทุน (Rebalance) เพื่อให้กลับไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น -1x, 2x, หรือ 3x ของดัชนีอ้างอิง 

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน Inverse และ Leveraged ETF ส่วนใหญ่จะใช้กลไกการ Rebalancing แบบรายวัน (Daily Rebalancing) เพื่อรักษาระดับการเลเวอเรจให้ได้ตามเป้าหมาย 

ซึ่งการปรับสัดส่วนนี้เองที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Compounding Effect ที่จะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนสะสมเมื่อถือครองนานกว่า 1 วัน โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง 

ตัวอย่าง Compounding Effect ในตลาดผันผวน 

สมมติว่าคุณลงทุนใน Leveraged ETF แบบ 2x ที่อ้างอิงดัชนี A โดยดัชนีอ้างอิงมีมูลค่า 100 บาท และ Leveraged ETF มีมูลค่า 100 บาทเช่นกัน   

- วันที่ 1 ดัชนีเพิ่มขึ้น 10% เป็น 110 บาท Leveraged ETF จะเพิ่มขึ้น 20% เป็น 120 บาท 

- วันที่ 2 ดัชนีลดลง 10% เหลือ 99 บาท Leveraged ETF จะลดลง 20% เป็น 96 บาท 

จะเห็นว่า แม้ดัชนี A จะกลับมาเกือบเท่าทุน (แต่ก็ยังขาดทุนอยู่ 1%) แต่ Leveraged ETF กลับขาดทุนถึง 4% นี่คือผลของ Compounding Effect 

ดังนั้น ในทุก ๆ วัน กองทุน ETF ดังกล่าวจึงต้องดำเนินการปรับสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ เพื่อให้ยังคงลงทุนได้ตามเป้าหมายของกองทุนต่อไป โดย 

สำหรับ Leveraged ETF ถ้าดัชนีขึ้น กองทุนจะต้องซื้อสินทรัพย์หรือสัญญา Futures เพิ่ม เพื่อรักษาอัตราส่วน Leverage ถ้าดัชนีลง กองทุนจะต้องขายสินทรัพย์หรือสัญญา Futures ออก ในขณะที่ Inverse ETF ถ้าดัชนีขึ้น กองทุนจะต้องซื้อสินทรัพย์หรือสัญญา Futures คืน (Cover Short Position) ถ้าดัชนีลง กองทุนจะต้องขายสินทรัพย์หรือสัญญา Futures เพิ่ม 

ทั้งนี้ การปรับสมดุลบ่อย ๆ ก็อาจทำให้เกิดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนด้วย 

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 08

สิ่งนี้กำลังบอกอะไร ? ยิ่งผันผวน ยิ่งถือยาว ยิ่งเสี่ยง 

เพราะยิ่งตลาดมีความผันผวนสูง (ขึ้นแรง ลงแรง สลับกันไปมา) Compounding Effect จะยิ่งรุนแรง ทำให้ผลตอบแทนสะสมแย่กว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ หากคุณยิ่งถือครองนานเท่าไร ผลกระทบจาก Compounding Effect ก็จะยิ่งสะสมมากขึ้นด้วยเช่นกัน 

ความเสี่ยงอื่น ๆ ที่ต้องระวัง 

 

1. ความเสี่ยงจาก Leverage

โดยการใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเงินมาลงทุน จะขยายทั้งผลกำไรและขาดทุน ถ้าตลาดไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณคาดการณ์ การขาดทุนอาจสูงมาก 

2. ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย

Inverse และ Leveraged ETF มักมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า ETF ทั่วไป เนื่องจากมีการบริหารจัดการที่ซับซ้อนกว่า 

3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง

ในบางช่วงเวลา สภาพคล่องในการซื้อขาย Inverse และ Leveraged ETF อาจต่ำ ทำให้ขายออกได้ยาก หรือได้ราคาที่ไม่ดี 

ตัวอย่าง Inverse ETF ที่ผลตอบแทนดี (แต่ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป) 

- GraniteShares 2x Short TSLA Daily ETF (TSDD) เคยให้ผลตอบแทนสูงถึง 164.11% ในช่วงต้นปี 2025 (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลตอบแทนดีตลอดไป) 

 

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน (โดยเฉพาะมือใหม่) 

1. ทำความเข้าใจ

ศึกษาข้อมูลของ Inverse และ Leveraged ETF ที่สนใจลงทุนให้ละเอียด ทั้งนโยบายการลงทุน กลไกการทำงาน และความเสี่ยง  

2. จำกัดความเสี่ยง

ไม่ควรลงทุนใน Inverse และ Leveraged ETF เป็นสัดส่วนที่มากเกินไปของพอร์ตการลงทุน 

3. ลงทุนระยะสั้น

เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้น ๆ เท่านั้น ไม่ควรถือครองนานเกินไป 

4. ติดตามข่าวสาร

ติดตามข่าวสารและแนวโน้มของตลาดอย่างใกล้ชิด 

5. ตั้งเป้าหมาย

กำหนดเป้าหมายกำไรและจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) ไว้ล่วงหน้า และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 11

Inverse และ Leveraged ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยเสริมแรง และมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน หากคุณมีความเข้าใจในกลไกการทำงานของ ETF เหล่านี้ และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง Inverse และ Leveraged ETF ก็จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้พอร์ตลงทุนของคุณได้ ในทางกลับกันด้วยความเสี่ยง และข้อจำกัดบางประการ นี่จึงเป็นเครื่องมือที่อาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงเกณฑ์อนุญาตให้นักลงทุนสามารถซื้อขาย Inverse และ Leveraged ETF ได้แล้ว เพื่อให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลายมากขึ้น   

อย่างไรก็ตาม Inverse และ Leveraged ETF ที่กฎหมายกำหนดให้ซื้อขายได้จะต้องเป็น Inverse และ Leveraged ETF ที่มีอัตราทวีคูณได้ไม่เกิน 2 เท่าและอัตราทวีคูณต้องเป็นจำนวนเต็ม ไม่เป็นทศนิยม

2025.03.12   on Call   ทำความเข้าใจ Inverse และ Leveraged Etf 12

ตัวอย่างรายชื่อ Inverse และ Leveraged ETF ที่มีอัตราทวีคูณไม่เกิน 2 เท่าและเป็นจำนวนเต็มตามที่กฎหมายกำหนด มีดังนี้ 

1. Inverse ETF (อัตราทวีคูณ -1x)

- Direxion Daily NVDA Bear 1X Shares (NVDD) ให้ผลตอบแทนตรงข้ามกับหุ้น NVIDIA 

2. Leveraged ETF (อัตราทวีคูณ 2x)

- ProShares UltraShort Bloomberg Natural Gas (KOLD) ให้ผลตอบแทนตรงข้าม 2 เท่าของราคาก๊าซธรรมชาติ 

- GraniteShares 2x Long BABA Daily ETF (BABX) ให้ผลตอบแทน 2 เท่าของหุ้น Alibaba 

- Proshares Ultrashort Semiconductors (SSG) ให้ผลตอบแทนตรงข้าม 2 เท่าของดัชนี Dow Jones U.S. Semiconductors 

- GraniteShares 2x Long META Daily ETF (FBL) ให้ผลตอบแทน 2 เท่าของหุ้น Meta Platforms 

- GraniteShares 2x Long AAPL Daily ETF (AAPB) ให้ผลตอบแทน 2 เท่าของหุ้น Apple 

ETF เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลตอบแทนตามเป้าหมายในระยะเวลา 1 วันเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าการถือครองเป็นระยะเวลานานอาจทำให้ผลตอบแทนแตกต่างจากที่คาดหวังอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากผลกระทบของการทบต้น (Compounding Effect) 

  

ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน 

KKP Dime บริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร

KKP Dime
เป็นบริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร

img-qr-code
img-qr-ring
สแกนเพื่อ
ดาวน์โหลด
แอป Dime!
ผลิตภัณฑ์
ออมเงินลงทุนจัดการ
กฎหมายและข้อบังคับ
ประกาศนโยบายการใช้คุกกี้ประกาศความเป็นส่วนตัวใบอนุญาตประกอบธุรกิจฯ
facebookinstagramtwittertiktoklineblockdit
© สงวนลิขสิทธิ์ บริษัท หลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด