ทองคำ..จากหัวใจของการเงินโลก สู่สินทรัพย์ลงทุน
1 กรกฎาคม 2568 · อ่าน 3 นาที
ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับเงินกระดาษ โอนผ่านมือถือ ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องปกติ แต่รู้ไหมครับว่า ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ “ทองคำ” เคยเป็นหัวใจของระบบการเงินของทั้งโลก ถึงแม้หน้าที่ของทองจะเปลี่ยนไปแล้ว ความเชื่อมั่นที่ผู้คนมีต่อทองคำยังคงอยู่ ยาวนานนับพันปี
📜 ทองคำโบราณ
ก่อนจะมีธนาคาร ก่อนจะมีเหรียญ หรือแม้กระทั่งภาษาเขียน มนุษย์ก็ให้ทองคำเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง
ทองคำที่ถูกใช้เป็นเครื่องประดับที่เก่าแก่ที่สุดถูกค้นพบที่ สุสานวาร์นา ประเทศบัลแกเรีย อายุ 4600 ปีก่อนคริสต์ศักราช นอกจากนี้ ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าทองเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ “รา” ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจ ทำให้ทองคำถูกใช้ประดับรูปปั้น วิหาร และสุสาน และมีบทบาทสำคัญในพิธีต่าง ๆ
ทองคำกลายเป็นเงินครั้งแรกในอาณาจักรลิเดีย ในประเทศตุรกีปัจจุบัน ราว 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในรูปแบบเหรียญทองผสมเงิน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเหรียญกษาปณ์ทั่วโลก เหรียญทองยังถูกพบในอาณาจักรอื่น ๆ เช่นเหรียญดาริกของเปอร์เซีย ออเรียสของโรมัน และ หยินหยวนจากรัฐฉู่ประเทศจีน
ก่อนจะเป็น Gold Standard
ปี 1300 อังกฤษเริ่มใช้ระบบ “ตราประทับ” (Hallmarking) ที่ Goldsmith’s Hall ในลอนดอน เพื่อรับรองความบริสุทธิ์ของทองคำ และในปี 1489 มีการผลิตเหรียญทอง Sovereign เหรียญแรก ภายใต้รัชสมัยของกษัตริย์เฮนรีที่ 7
ปี 1717 สหราชอาณาจักรกำหนด “มาตราทองคำ” (Gold Standard) อย่างเป็นทางการ คือการตรึงค่าเงินปอนด์ไว้กับราคาทองคำที่แน่นอน แนวคิดนี้กลายเป็นรากฐานของระบบการเงินโลกนานนับศตวรรษ
👑 Gold Standard
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ Gold Standard รุ่งเรืองอย่างมาก เพราะภูมิรัฐศาสตร์ค่อนโลกข้างสงบ ประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหรัฐ ยังไม่มีความขัดแย้งใหญ่ระหว่างกัน ประเทศเหล่านี้มีเป้าหมายร่วมกันคือ “เสถียรภาพของค่าเงิน” ทำให้แต่ละประเทศยึดหลักการเดียวกันคือการผูกค่าเงินกับทองคำที่อัตราแน่นอน
ระบบนี้ทำให้เงินในแต่ละประเทศสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ง่าย เกิดการค้าและการลงทุนข้ามประเทศอย่างเสรี คล้ายกับระบบเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบัน
ธนาคารกลางในยุคนั้นมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ “ตรึงค่าเงินให้เท่าทอง” โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือดูแลการจ้างงานเหมือนในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้การเคลื่อนย้ายของทองสำรองระหว่างประเทศยังไม่มีข้อจำกัดมากนัก ทำให้ระบบสามารถปรับตัวเองได้ตามธรรมชาติ เช่น หากประเทศหนึ่งขาดดุลการค้า ทองก็จะไหลออก และธนาคารกลางจะต้องลดปริมาณเงินในประเทศนั้นเพื่อลดการนำเข้า
💸 จุดเปลี่ยนของ Gold Standard
แม้มาตราทองคำจะดูมั่นคง แต่ก็มีข้อจำกัดสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
ประเทศที่เข้าสู่สงครามต้องการเงินจำนวนมหาศาล แต่ทองคำที่มีอยู่ไม่เพียงพอ จึงต้องพักระบบมาตราทองคำ และใช้เงินกระดาษเกินจากทองคำที่มีอยู่จริงชั่วคราว
ช่วง Great Depression (1929 – 1939) ปัญหายิ่งรุนแรงขึ้น ธนาคารกลางหลายประเทศต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่กลับต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อป้องกันไม่ให้ทองไหลออก ทำให้เศรษฐกิจแย่ลงกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน โลกเริ่มเห็นว่ามาตราทองคำไม่ยืดหยุ่นพอสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ แม้หลายประเทศยังอยากกลับไปใช้ทอง แต่ปริมาณทองกลับไม่ทันกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ประเทศเล็ก ๆ เริ่มถือเงินปอนด์หรือดอลลาร์มากกว่าทอง เงินสองสกุลนี้จึงเริ่มมีบทบาทแทนทองในฐานะเงินสำรองของประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้ทองกระจุกตัวอยู่ในมือของไม่กี่ประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐ
ปี 1934 สหรัฐปรับราคาทองจาก 20.67 ดอลลาร์ เป็น 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีเงินกระดาษหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นทันที และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น
ราคาทองที่สูงขึ้นยังจูงใจให้ประเทศอื่น ๆ แปลงทองเป็นดอลลาร์มากขึ้น ส่งผลให้สหรัฐกลายเป็นผู้ถือทองรายใหญ่ที่สุดในโลก
Bretton Woods
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศมหาอำนาจตะวันตกได้ตกลงเข้าร่วมระบบการจัดการการเงิน “เบรตตันวูดส์” (Bretton Woods) ที่ทำให้สกุลเงินทุกประเทศถูกผูกไว้กับเงินดอลลาร์ และดอลลาร์ถูกตรึงไว้กับทองคำที่ 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นั่นหมายความว่า เงินทั่วโลกยังมีทองคำรองรับอยู่ทางอ้อม โดยผ่านดอลลาร์สหรัฐ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สหรัฐต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการทำสงครามเวียดนาม รวมถึงใช้จ่ายสวัสดิการในประเทศ ทำให้เริ่มเกิดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลการคลัง
ประเทศอื่น ๆ เริ่มสงสัยว่า ดอลลาร์ที่ถือไว้ยังมีทองคำรองรับจริงหรือไม่ จึงทยอยนำดอลลาร์กลับมาแลกทอง
💵 Nixon Shock
ในปี 1971 ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ประกาศระงับการแลกดอลลาร์เป็นทองคำอย่างถาวร ซึ่งเรียกว่า “Nixon Shock” เหตุการณ์นี้ถือเป็นการสิ้นสุดของมาตราทองคำโดยสมบูรณ์ และเปิดทางให้ระบบ Fiat Currency หรือ เงินกระดาษที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง
ตั้งแต่นั้นมา มูลค่าของเงินตราขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลและธนาคารกลางล้วน ๆ
⭐ ยุคใหม่ของทอง
แต่ทองคำไม่ได้หายไปไหน ถึงมันจะไม่ใช่ “เงิน” มา 50 ปีแล้ว ความต้องการทองกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากที่ทองมีราคา 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 1971 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาทองได้ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในประวัติการณ์ที่กว่า 3500 ดอลลาร์ต่อออนซ์มาแล้ว
ทุกวันนี้ทองถูกใช้เก็บมูลค่าเป็นหลัก ในปี 2024 นักลงทุน และธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองรวมกันกว่า 2267.7 ตัน คิดเป็นประมาณ 49.2% ของความต้องการทองคำทั้งปี ตามมาด้วยการผลิตเครื่องประดับที่ 43.7% และภาคเทคโนโลยีที่ 7.1%
และในยามวิกฤต ทองคำช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี เช่นตอนโควิดระบาดระลอกแรก (ก.พ. – มี.ค. 2020) ราคาทองปรับขึ้น +9.59% เทียบกับดัชนี S&P 500TR ลด -13.35% หรือตอนรัสเซียรุกรานยูเครน (ก.พ. 2022 – ก.ค. 2023) ทองเพิ่มขึ้น +5.99 ในขณะที่ S&P 500TR ลดลง -0.74%
เขาว่ากันว่า ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน นอกจากความตาย กับภาษี
…แต่ถ้าประวัติศาสตร์สอนอะไรเราได้อย่างหนึ่ง ทองคำอาจเป็นสิ่งใกล้เคียง “ข้อยกเว้น” ข้อที่สามมากที่สุด
วันนี้ทองลงทุนได้ง่าย ๆ ไม่ต้องไปถึงเยาวราช
ซื้อผ่าน ETF กองทุน หรือซื้อออนไลน์ก็ได้บน Dime! เริ่มต้นเพียง 100 บาท !
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
มูลค่าเทียบเท่า 100 บาท โดยธุรกรรมทองคำต้องชำระด้วย USD เท่านั้น
ให้บริการโดย บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด KKP Dime เป็นเพียงผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
ที่มา:
https://www.royalmint.com/invest/discover/gold-news/a-brief-history-of-gold/
https://www.investopedia.com/ask/answers/09/gold-standard.asp
https://www.gold.org/goldhub/data/gold-demand-by-country
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์