KKP Dime บริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร
Share modal

การโฟกัสสิ่งเดียว อาจได้ผลลัพธ์ดีกว่าทำหลายอย่าง

15 พฤษภาคม 2568 · อ่าน 3 นาที

หุ้น
copy link

Thumbnail Img 1824

❇️ ในโลกของธุรกิจ เรามักได้ยินคำว่า “การกระจายความเสี่ยง” ว่าเป็นสิ่งจำเป็น เป็นแนวทางที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลยุทธ์ที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง อย่าง “การโฟกัสสิ่งเดียวให้ลึกสุดทาง” กลับเป็นทางเลือกที่กำลังพิสูจน์ตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่ผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว ตลาดแข่งขันสูง และนักลงทุนต้องการความชัดเจน

🔍 หลายบริษัทที่เลือกเดินทางเดียว ไม่แตกไลน์ ไม่ขยายเกินตัว กลับกลายเป็น “แบรนด์ที่แข็งแกร่ง” ในสายของตัวเอง ขณะที่อีกหลายบริษัทที่พยายามจะเป็นทุกอย่างให้ทุกคน อาจต้องแลกมาด้วยความซับซ้อน ต้นทุนสูง และการจัดการที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ

ลองมาดู 3 ตัวอย่างของบริษัทระดับโลก ที่สะท้อนภาพนี้ได้ชัดเจน

📺 Netflix (NFLX) กับ Disney (DIS)

🥤 Coca-Cola (KO) กับ PepsiCo (PEP)

👜 Hermès (HERMES80) กับ  LVMH (LVMH01)

📺 Netflix (NFLX) vs. Disney (DIS) – สตรีมมิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

Netflix (NFLX) คือบริษัทที่โฟกัสกับการทำ Streaming Entertainment เพียงอย่างเดียว ไม่มีสวนสนุก ไม่มีช่องทีวี ไม่มีของเล่นให้เด็กเล่น สิ่งที่ Netflix ทำ คือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และการผลิตคอนเทนต์ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายทั่วโลก โดยรายได้ของ Netflix กว่า 99% มาจากค่าสมาชิกรายเดือน (Subscription Revenue) และเริ่มขยายสู่กลุ่มผู้ใช้ราคาประหยัดด้วยแพ็กเกจ “โฆษณา + จ่ายน้อยลง” เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้เติบโตต่อได้เรื่อย ๆ

ในขณะที่ Disney (DIS) เป็นยักษ์ใหญ่ที่ทำหลายอย่างมาก ตั้งแต่หนัง สตรีมมิ่ง สวนสนุก ทีวี ไปจนถึงของเล่นเด็ก โครงสร้างรายได้ของ Disney จึงซับซ้อนกว่ามาก แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักคือ

Entertainment (หนัง, สตรีม, ลิขสิทธิ์, ทีวี) ประมาณ 50 %

Parks & Experiences (สวนสนุก, รีสอร์ท, Disney Cruise) ประมาณ 35 %

Consumer Products & Licensing (สินค้า, ลิขสิทธิ์, ตัวละคร) ที่เหลืออีก 15 %

แม้ Disney จะมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก เช่น Marvel, Star Wars, Pixar แต่ในแง่ธุรกิจ พวกเขายังแบกรับต้นทุนของธุรกิจดั้งเดิมอยู่จำนวนมาก ทำให้แม้ Disney+ จะโตขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยการชะลอตัวของธุรกิจอื่นได้แบบสมบูรณ์

📈 Netflix จึงดูเป็นบริษัทที่มีแนวทางชัดเจน กลยุทธ์ตรงไปตรงมา ตัดสินใจเร็ว และตอบโจทย์ตลาดได้ไวกว่าและทำให้ผลตอบแทนของหุ้น NFLX ตั้งแต่ต้นปี 2568 (2 ม.ค. - 14 พ.ค. 68) เติบโตถึง 29 % สวนทางกับ หุ้น Disney (DIS) ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 2 %

🥤 Coca-Cola (KO) vs. PepsiCo (PEP) – หุ้นน้ำอัดลมที่ไม่เหมือนกันเลย

Coca-Cola (KO) ถือเป็นต้นฉบับของการโฟกัสสิ่งเดียวอย่างแท้จริง Coca-Cola ทำธุรกิจเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และทำมันได้ดีมาก โดยในรายงานงบล่าสุด รายได้ของ Coca-Cola มาจากหมวดเครื่องดื่มทั้งหมด 100% ซึ่งมีทั้งน้ำอัดลม, น้ำผลไม้ ไปจนถึงน้ำดื่ม และ Specialty Drinks

การไม่แตกไลน์ไปทำขนมหรืออาหาร ทำให้ Coca-Cola คุมห่วงโซ่อุปทานการผลิตง่าย มีการโฟกัสสินค้าที่ชัด และสร้างแบรนด์ย่อยได้อย่างแข็งแรงในแต่ละหมวด

ตรงข้ามกับ PepsiCo (PEP) ที่แม้จะมี Pepsi เป็นแบรนด์หลัก แต่ธุรกิจก็มีการกระจายไปถึงของขบเคี้ยวอย่าง Lay’s, Doritos, Cheetos และข้าวโอ๊ตอย่าง Quaker ด้วย โครงสร้างรายได้ของ PepsiCo ล่าสุดจึงแบ่งเป็น

ขนมขบเคี้ยวและอาหาร สัดส่วนประมาณ 58 %

เครื่องดื่ม สัดส่วน 42 %

โมเดลที่หลากหลายทำให้ PepsiCo แข็งแกร่งในแง่ความเสถียร แต่ก็มีความซับซ้อนในการบริหารสูงกว่า Coca-Cola อย่างมาก และเมื่อต้นทุนวัตถุดิบหรือพลังงานพุ่งขึ้น รวมถึงกระแสของการดูแลสุขภาพ ผลกระทบจึงกระจายออกหลายทาง จนส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัท

📈 โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 (2 ม.ค. - 14 พ.ค. 68) ราคาของหุ้น Coca-Cola ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 12 % ในขณะที่ PepsiCo กลับลดลงถึง 14 %

👜 Hermès (HERMES80) vs. LVMH (LVMH01) – หรูแบบนิ่งลึก vs. หรูแบบหลากหลาย

Hermès (HERMES80) เป็นแบรนด์ที่มีความพรีเมียมมากในกลุ่มแบรนด์หรู โดยไม่เล่นกับกระแส ไม่ลดราคา ไม่ทำสินค้า mass และไม่มีการเร่งยอดขายเพื่อโตระยะสั้น รายได้ของ Hermès มาจาก

เครื่องหนัง ประมาณ 45%

เสื้อผ้า และเครื่องประดับ ประมาณ 25 %

นาฬิกา น้ำหอม และอื่น ๆ 30 %

Hermès ยึดปรัชญาผลิตน้อยกว่าความต้องการเสมอ ทำให้สินค้าขาดตลาดเป็นปกติ และกลายเป็นแบรนด์ที่ “มีค่ามากกว่าราคาขาย” สำหรับลูกค้าหลายกลุ่ม

ในขณะที่ LVMH (LVMH01) เป็นเจ้าของแบรนด์หรูมากมาย ทั้ง Louis Vuitton, Dior, เครื่องดื่ม Moët & Chandon, ร้านค้าปลีก Sephora และ TAG Heuer โครงสร้างรายได้ล่าสุดของ LVMH แบ่งออกเป็น

เสื้อผ้า กระเป๋า และสินค้าแฟชัน 50%

น้ำหอมและเครื่องสำอาง 15%

นาฬิกา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และร้านค้าปลีก 35%

แม้ LVMH จะเป็นอาณาจักรหรูอันดับ 1 ของโลก แต่การกระจายแบรนด์หลายสายย่อมทำให้แต่ละแบรนด์ต้องแข่งขันกันเองภายใน เมื่อเกิดปัญหากำลังซื้อแบรนด์หรูหดตัว การบริหารจัดการธุรกิจทั่วโลกจึงมีความซับซ้อนสูงกว่า Hermès มาก

📈 โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 (2 ม.ค. - 14 พ.ค. 68) ราคาของหุ้น Hermès ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 12 % ในขณะที่หุ้น LVMH กลับลดลงถึง 17 %

❇️ สรุป: การโฟกัส อาจทำให้ได้ทั้งความเร็ว และความคมชัด

การทำหลายอย่างอาจสร้างความหลากหลายและเปิดโอกาสใหม่ ๆ ได้ในบางบริบท แต่ในยุคที่ข้อมูลล้นมะลัก กระแสความสนใจของลูกค้าเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น 

บริษัทที่ “โฟกัสลึก” กลับได้เปรียบในแง่ของความเร็วในการปรับตัว ความชัดเจนในโมเดลธุรกิจ และการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน

บริษัทระดับโลกอย่าง Netflix, Coca-Cola และ Hermès แสดงให้เห็นว่า

❇️ บางครั้ง “การเลือกที่จะไม่ทำทุกอย่าง” ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

เพราะในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน สิ่งที่ชัดเจนและมั่นคงที่สุด อาจกลายเป็นสิ่งที่ชนะก็ได้..

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบ ผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นโดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ ซึ่งพิจารณาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือซึ่งปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงความเห็นหรือประมาณการต่าง ๆ ที่ปรากฏโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ที่มา : simplywall.st

มูลค่าบริษัท ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2568

KKP Dime บริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร

KKP Dime
เป็นบริษัทในเครือเกียรตินาคินภัทร

img-qr-code
img-qr-ring
สแกนเพื่อ
ดาวน์โหลด
แอป Dime!
ผลิตภัณฑ์
ออมเงินลงทุนจัดการ
กฎหมายและข้อบังคับ
ประกาศนโยบายการใช้คุกกี้ประกาศความเป็นส่วนตัวใบอนุญาตประกอบธุรกิจฯ
facebookinstagramtwittertiktoklineblockdit
© สงวนลิขสิทธิ์ บริษัท หลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด