อยากเป็นสายปันผลควรรู้อะไรบ้าง ?
14 กรกฎาคม 2568 · อ่าน 3 นาที
เห็นหุ้นจ่ายปันผลเยอะแล้วซื้อเลยดีมั้ย ? เดี๋ยวก่อน ! ก่อนจะเป็นสายปันผลเต็มตัว มาทำความเข้าใจให้ลึกขึ้นกันหน่อย ว่าควรดูอะไรบ้าง นอกจากแค่ yield สูง ๆ
🧮 อัตราส่วนที่สายปันผลควรรู้
1. Dividend Yield = เงินปันผลต่อหุ้น ÷ ราคาหุ้น
ผลตอบแทนจากปันผลเทียบราคาที่จ่าย
เช่น Lockheed Martin (LMT) ราคา 463 ดอลลาร์ ปันผล 12.9 ดอลลาร์
Dividend Yield = 12.9 ÷ 463 ≈ 2.79%
ถ้าเงินปันผลเพิ่ม → Dividend Yield ก็เพิ่มขึ้นตาม
แต่ถ้าราคาหุ้นตก → Dividend Yield ก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน
⚠️ บางทีราคาหุ้นตกเพราะธุรกิจมีปัญหา หากพื้นฐานแย่ ผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ไม่คุ้มเงินทุนที่หายไป
2. Payout Ratio = เงินปันผล ÷ กำไรสุทธิ
บอกว่าบริษัทจ่ายปันผลออกมากี่ % ของกำไรสุทธิ
เช่น Coca-Cola Co. (KO) จ่ายปันผลต่อหุ้น 1.938 ดอลลาร์ จากกำไรสุทธิต่อหุ้น 2.503 ดอลลาร์
Payout Ratio = 1.938 ÷ 2.503 ≈ 77.4%
กำไรสุทธิของบริษัทเป็นของคุณในฐานะผู้ถือหุ้นอยู่แล้วไม่ว่าจะเก็บไว้ในบริษัทหรือจ่ายออก
⚙️ บริษัทอาจแบ่งกำไรไปลงทุนต่อ ธุรกิจที่ยั่งยืนจึงต้องบาลานซ์ปันผลกับการเติบโต
✅ ข้อดีของหุ้นปันผล
1. Passive Income
ไม่ต้องขายหุ้นก็มีเงินสดเข้าบัญชี รู้สึกเหมือนได้ “เงินเดือนจากพอร์ต”
2. เป็นสัญญาณความแข็งแกร่งของบริษัท
ผู้บริหารมักจ่ายปันผลเพื่อส่งสัญญาณความมั่นใจในกระแสเงินสดระยะยาว
3. ช่วยสร้างวินัยการลงทุน
ได้ปันผลแล้วเอาไป DCA ต่อได้ ทำให้เงินไปทำงานต่อ
4. ปันผลมีความแน่นอนกว่าราคาหุ้น
ตัวอย่างเช่น P&G จ่ายปันผลมา 134 ปี แม้บางปีตลาดแย่ผู้ถือหุ้น PG ก็ได้เงินสม่ำเสมอ
❌ ข้อเสียของหุ้นปันผล (ที่หลายคนอาจมองข้าม)
1. เงินปันผล ≠ เงินฟรี
กำไรสุทธิของบริษัทเป็นของคุณไม่ว่าจะจ่ายออกมาหรือไม่
หากบริษัทจ่ายออกมาราคาหุ้นก็ต้องลดลงตาม “ทำให้ผู้ถือหุ้นมีเงินเท่าเดิม” เช่น
ก่อน XD: หุ้นราคา 25 บาท
จ่ายปันผล 5 บาท
→ ราคาหุ้นหลัง XD ควรจะเหลือประมาณ 20 บาท
→ ได้ปันผลมา 5 บาท แต่ราคาหุ้นลด 5 บาท
→ มูลค่าพอร์ตเท่าเดิม (ยังไม่คำนวณภาษี)
ในตลาดหุ้นอเมริกาเราอาจไม่เห็นราคาหุ้นปรับลงชัด ๆ เพราะมีคนซื้อขายตลอดเวลา
แต่ถ้าเป็น ETF ที่จ่ายปันผล ราคาจะลดลงทันทีหลังขึ้นเครื่องหมาย XD
เพราะเงินที่จ่ายออกมาคือมูลค่าบางส่วนที่หายไปจากกองทุนจริง ๆ
2. โดนเก็บภาษี 2 รอบ
บริษัทต้องจ่ายภาษี 1 รอบก่อนที่จะได้เป็นกำไรสุทธิ และเงินปันผลจ่ายออกจากกำไรสุทธิอีกที แต่โดน “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” (Withholding Tax) ทันที 10% สำหรับหุ้นไทย หรือ 15% สำหรับหุ้นอเมริกา ทำให้เงินก้อนเดียวโดนภาษี 2 รอบ
3. จำกัดจักรวาลการลงทุน
คุณอาจจะพลาดหุ้นเติบโตอย่าง Amazon (AMZN) หรือ Netflix (NFLX) ที่ยังไม่เคยจ่ายปันผลมาก่อน
ในทุกการตัดสินใจเรามี “ค่าเสียโอกาส” (Opportunity Cost) เสมอ
4. คุณไม่ได้เป็นคนเลือกว่าจะได้เงินเมื่อไหร่
การรอปันผลเป็นการรอให้บริษัทเป็นคนตัดสินใจ บางบริษัทอาจจะจ่ายปีละ 2 ครั้งหรือบางปีก็ไม่จ่าย
ในขณะที่ถ้าคุณไม่เน้นปันผล ต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ก็ “เลือกขายหุ้นเอง” เพื่อเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดทันที (แต่ต้องเป็นหุ้นที่เติบโตพอจะได้มีกำไรจากการขาย)
🎯 สรุปคือ:
ถ้าคุณต้องการกระแสเงินสด และรับได้กับข้อจำกัด → หุ้นปันผลอาจเหมาะกับคุณ
แต่ถ้าคุณมองหาการเติบโตระยะยาว → การไม่จำกัดตัวเองไว้ที่หุ้นปันผลเพียงอย่างเดียวอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์