16 ม.ค. - 28 ก.พ. 68 นี้ ลงทุนในแอป Dime! แบบประหยัดภาษีกับ Easy E-Receipt 2.0
13 มกราคม 2568 · อ่าน 3 นาที
มาลงทุนแบบซุปเปอร์เซฟ ! ทั้งประหยัดภาษี และได้ลงทุนกับโครงการ “Easy E - Receipt 2.0” ปี 2568 สำหรับเพื่อน ๆ ที่มีการซื้อสินค้าหรือรับบริการตามที่กฎหมายกำหนด สามารถนําค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทต่อคน
เพียงนำ ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-receipt/E-tax invoice) ที่แสดงข้อมูลการเสียค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกรรมบนแอปพลิเคชัน Dime! มายื่นประกอบการใช้สิทธิ์ในการขอลดหย่อนภาษี ปี 2568 ได้ โดยค่าใช้จ่ายจากธุรกรรมที่สามารถนำไปใช้สิทธิ์ในการขอลดหย่อนภาษี ได้แก่
- ค่าธรรมเนียมที่ชำระสำหรับการซื้อขายหุ้นสหรัฐอเมริกา และ ETF (ซื้อขายภายในวันที่ 16 ม.ค. - 27 ก.พ. 68)
- ค่าธรรมเนียมที่ชำระสำหรับการซื้อขายหุ้นไทย (ซื้อขายภายในวันที่ 16 ม.ค. - 28 ก.พ. 68)
- ค่าธรรมเนียมที่ชำระสำหรับการซื้อขายกองทุนรวม (ซื้อขายภายในวันที่ 16 ม.ค. - 28 ก.พ. 68)
- ค่าสมัครแพ็กเกจ Dime! Fan ทั้งแบบรายวัน 30 วัน 39 บาท และราย 1 ปี 390 บาท (ซื้อภายในวันที่ 16 ม.ค. - 28 ก.พ. 68)
โดยเพื่อน ๆ สามารถใช้สิทธิ์ขอลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับธุรกรรมที่ร่วมรายการกับ Dime! ตามนโยบายของรัฐบาล โดยต้องมีใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ แบบเต็มรูปแบบเป็นหลักฐาน
อ่านรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/lorkhor/newsbanner/2024/12/Q_A_Easy_E-Receipt_2.0_25122567.pdf
ระยะเวลาใช้สิทธิ์ 16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568
Easy E-Receipt 2.0 คืออะไร ?
Easy E-Receipt 2.0 เป็นมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับปี 2568 ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ โดยผู้เสียภาษีสามารถนําค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาทต่อคนเงื่อนไขการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามมาตรการ Easy E-Receipt 2.0
1. ระยะเวลาใช้สิทธิ์ 16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568
2. วงเงินลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาท แบ่งเป็น
- 30,000 บาท สําหรับซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไป
- 20,000 บาท สําหรับซื้อสินค้า OTOP, วิสาหกิจชุมชน หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม
3. ต้องมีหลักฐานเป็นใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้นสินค้าและบริการที่สามารถใช้สิทธิ์ได้- สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- หนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร ทั้งรูปแบบสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ (E-Book)
- สินค้าและบริการจากร้านวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และสินค้า OTOP
ใครมีสิทธิ์ใช้มาตรการนี้ ?
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้นที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ได้ โดยจํานวนภาษีที่ลดหย่อนได้จะขึ้นอยู่กับระดับรายได้ต่อปี
ข้อควรระวังในการลงทุนเพื่อประหยัดภาษี
แม้ว่า Easy E-Receipt 2.0 จะเป็นโอกาสดีในการประหยัดภาษี แต่ผู้ใช้สิทธิ์ควรคํานึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- ไม่ควรใช้จ่ายเกินความจําเป็นเพียงเพื่อลดหย่อนภาษี
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับเอกสารที่ถูกต้องตามเงื่อนไข (e-Tax Invoice หรือ e-Receipt)
- เก็บรักษาหลักฐานการซื้อสินค้าหรือบริการไว้เพื่อการตรวจสอบ
ทางเลือกอื่นในการลงทุนเพื่อประหยัดภาษี
นอกจาก Easy E-Receipt 2.0 แล้ว ยังมีทางเลือกอื่นในการลงทุนเพื่อประหยัดภาษี เช่น
1. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
2. กองทุน Thai ESG
การลงทุนในกองทุนเหล่านี้นอกจากจะช่วยประหยัดภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวอีกด้วยนะครับ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เงื่อนไขเป็นไปตามนโยบายรัฐประจำปี 2568
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์