ลงทุนในหุ้นกู้ก็เจ๊งได้ หากไม่ดูบริษัทให้ดี
14 มิถุนายน 2566 · อ่าน 1 นาที
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันมีสินทรัพย์ทางการเงินให้เราเลือกลงทุนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้นสามัญ ออปชัน หุ้นกู้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือคริปโทเคอร์เรนซีก็ตาม
และ “หุ้นกู้” ก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ดูจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินทรัพย์อื่นในตลาด และนักลงทุนก็ไม่ต้องค่อยกังวลว่าเงินต้นจะหายไป เพียงแค้ถือครองหุ้นกู้นั้นให้ครบตามที่เวลากำหนด ที่สำคัญยังได้ดอกเบี้ยในแต่ละปีอีกด้วย
เรียกได้ว่าหุ้นกู้เหมาะกับสาย Passive Income อย่างแท้จริง
แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้วการลงทุนในหุ้นกู้ก็สามารถเจ๊งได้เหมือนกัน หากเราลงทุนโดยไม่พิจารณาคุณภาพของบริษัทให้ดี
ซึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าเพื่อน ๆ ได้ติดตามข่าวจะเห็นว่า มีบางบริษัทไม่สามารถชำระหนี้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ได้ จนนักลงทุนต้องไปฟ้องร้องกันเป็นเรื่องใหญ่โตเลยทีเดียว
เพื่อลดความเสี่ยงที่หุ้นกู้ของเราจะกลายเป็นอากาศ วันนี้แอดเลยขอมาเล่าว่า การลงทุนในหุ้นกู้สักตัว นอกจาก อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) เราควรดูอะไรเพิ่มอีกบ้าง ที่สามารถช่วยประกอบการตัดสินใจได้ดีขึ้น
1. บริษัทประกอบธุรกิจอะไร
ก่อนที่จะลงทุนในหุ้นสามัญ หรือหุ้นกู้ก็ตาม สิ่งที่ต้องรู้ก่อนที่เราจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทอยู่เสมอคือ บริษัททำธุรกิจอะไร
เพราะการที่เรารู้จักในสิ่งที่บริษัทกำลังทำ จะทำให้เราเข้าใจบริษัทจริง ๆ และช่วยให้คาดการณ์ได้ว่า บริษัทจะมีทิศทางเป็นอย่างไร หากเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากเรารู้ว่า บริษัท A ทำธุรกิจปล่อยเช่าแผ่นซีดี การซื้อหุ้นกู้จากบริษัทนี้คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก แม้ว่าจะให้ดอกเบี้ยสูงก็ตาม เพราะปัจจุบันผู้คนหันมาดูหนังผ่านสตรีมมิงกันแล้ว ดังนั้นบริษัท A มีโอกาสเจ๊งสูง และไม่สามารถจ่ายหนี้คืนเราได้
2. บริษัทมีหนี้สินต่อทุนดีหรือไม่
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ถือเป็นตัวเลขหนึ่งที่สำคัญ ที่คนซื้อหุ้นกู้ต้องไม่ละเลย เพราะทำให้เราตระหนักว่า บริษัทมีภาระหนี้สินมากน้อยแค่ไหน
โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น คำนวณจาก หนี้สินหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งมีค่าน้อยจะถือว่าดี
อย่างไรก็ดี แต่ละธุรกิจจะมีค่านี้ที่แตกต่างกัน เช่น ธุรกิจสินเชื่อและธนาคารมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 5-10 เท่าถือว่าเป็นเรื่องปกติ กลับกันธุรกิจค้าปลีกการมีหนี้สัดส่วนสูงเหมือนกัน จะไม่นับว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว
เพื่อให้วัดได้ว่าบริษัทที่เราสนใจลงทุนหุ้นกู้นั้นมีหนี้สินสูงเกินไปหรือไม่ ให้เทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจเดียวกัน
3. ผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไร
เหตุผลง่าย ๆ ที่เราควรดูผลประกอบการบริษัท เพราะหากส่วนนี้ไม่ดีแล้ว เขา (บริษัท) จะหาเงินจากที่ไหนมาจ่ายเรา (ผู้ถือหุ้นกู้)
โดยหนึ่งในอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญคือ “ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย” ซึ่งมีความหมายตรงตัว
คำนวณมาจาก กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี หารด้วย ดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งยิ่งค่านี้มากยิ่งดี และอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 1 เท่า
และไม่ควรดูเพียงแค่ 1 ปีย้อนหลังเท่านั้น ควรดูย้อนหลังยาว ๆ สัก 3-5 ปีขึ้นไป ดูทิศทางว่าผลประกอบการที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นหรือลดลง และถ้าให้ดี เราควรคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตว่า พอจะมีเงินจ่ายหนี้หรือไม่ อีกด้วย
หากเพื่อน ๆ ดูองค์ประกอบและวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้เพิ่มเติม แอดคิดว่าความเสี่ยงที่แต่ละคนจะเจ๊งจากการถือหุ้นกู้คงลดน้อยกว่าเดิมพอสมควร
สุดท้ายแอดขอเป็นกำลังใจทุกคนที่เผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และขอให้เพื่อน ๆ โชคดีกับการออมการลงทุนกันนะครับ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
Dime! ครบเครื่องเรื่องการเงิน แอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
เรารอฟังคำแนะนำจากทุกคนอยู่ ติดต่อเราได้เลยทางแอป Dime! หรือช่องทางโซเชียล Facebook และ LINE
[รู้จักเรา]
Dime! (ไดม์!) แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุน เป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ง่ายเหมือนกับเงิน 1 ไดม์