สรุปคู่มือเลือกหุ้นแบบง่าย ๆ สำหรับคนอยากเริ่มลงทุน
23 May 2025 · 3 min read
คำว่า “หุ้น” สำหรับคนที่ไม่เคยลงทุนจะมองว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก ต้องเป็น
1. สำรวจสินค้าและบริการที่ตัวเองหรือคนรอบตัวใช้แล้วชอบ เพราะหลายครั้งหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีคือ หุ้นเจ้าของสิ่งของที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น
- Duolingo (DUOL) แอปสอนภาษา
- Meta Platforms (META) เจ้าของ Facebook และ Instagram
- Netflix (NFLX) แพลตฟอร์มดูหนัง
- Spotify (SPOT) แอปฟังเพลง
- Booking Holdings (BKNG) เจ้าของ Agoda แพลตฟอร์มจองที่พักและสายการบิน
และยังมีหุ้นดีอื่น ๆ อีกมากมาย ที่อยู่รอบตัวเรา
2. เสิร์ชหาชื่อบริษัทเจ้าของสินค้าและบริการนั้น ๆ และหาชื่อย่อหุ้นของบริษัท
วิธีการง่ายดาย แค่เรามีอินเทอร์เน็ตก็สามารถพิมพ์ใน Google ได้เลยว่า ใครเป็นเจ้าของสินค้า xx เช่น ใครเป็นเจ้าของแบรนด์ Oreo (คำตอบคือ Mondelez International)
หลังจากได้ชื่อบริษัทแล้ว เราก็พิมพ์ชื่อบริษัท + หุ้น (หรือ stock) ได้เลย เพียงเท่านี้ก็จะมีชื่อหุ้นปรากฎแล้ว เช่น Mondelez International คือหุ้น MDLZ
แต่บางครั้งถ้าเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทย เราอาจจะลงทุนโดยตรงได้ยาก ให้พิมพ์แบบนี้แทนคือ DR หุ้น xx เช่น DR หุ้น LVMH หรือ DR หุ้น Pop Mart เราก็จะได้ชื่อหลักทรัพย์
อย่าง DR หุ้น LVMH ⮕ LVMH01
DR หุ้น Pop Mart ⮕ POPMART80
ซึ่งการลงทุนใน DR คนไทยสามารถทำได้ง่ายมาก เพียงแค่มีบัญชีหุ้นไทยก็ลงทุนได้แล้ว
3. ดูสัดส่วนรายได้ของสินค้าและบริการที่เราสนใจต่อรายได้ทั้งหมดบริษัท เพราะบางครั้งต่อให้สินค้าและบริการที่เราใช้นั้นจะดีมาก ๆ แต่ถ้าเป็นสัดส่วนที่เล็กน้อย ความน่าสนใจ (ยกเว้นว่า รายได้ในส่วนนั้นจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด)
วิธีการสืบสัดส่วนรายได้ ทำได้จากการอ่านรายงานประจำปีของบริษัท
- หุ้นไทย เสิร์ช “ชื่อหุ้น” แล้วเข้าเว็บไซต์ของ SET หลังจากนั้นกด “ข้อมูลหลักทรัพย์” ก็จะเจอเอกสาร “รายงานประจำปี”
- หุ้นต่างประเทศ เสิร์ช “ชื่อบริษัท + IR” แล้วหาเอกสารที่เขียนว่า “Annual Report”
หรือง่ายกว่านั้น ก็ลองหาจากที่บริษัทการเงินหรือเพจต่าง ๆ สรุปไว้ เช่น เพจ Dime หรือเพจเอาชีวิตรอดด้วยการเงิน by Dime เป็นต้น
4. ส่องผลประกอบการที่ผ่านมาสักหน่อย เพราะสินค้าและบริการที่เราชอบนั้นอาจจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ๆ ก็ได้ หรือมันอาจจะขายขาดทุน ดังนั้นเราจำเป็นต้องดูผลประกอบการด้วย
- สำหรับหุ้นไทย สามารถดูในเว็บไซต์ของ SET ได้เลย
- สำหรับหุ้นต่างประเทศ ดูได้จาก Jitta และ Yahoo Finance
แต่ถ้าอยากดูให้ละเอียด ก็อ่านในรายงานประจำปีของบริษัทต่อได้เลย
5. หนี้สินของบริษัทเป็นอย่างไร อย่าลืมเช็ก ธุรกิจที่มีโอกาสอยู่รอดในช่วงวิกฤติต่าง ๆ ได้คือ ธุรกิจที่มีหนี้สินน้อย
โดยวัดจาก % ไม่ใช่จำนวนตัวเลข เทียบระหว่างส่วนของผู้ถือหุ้นกับหนี้สิน ยิ่งส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่าหนี้สินหลายเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
6. ทบทวนอีกครั้งว่า บริษัทที่เราสนใจจะสามารถแข็งแกร่งและเติบโตต่อไปได้หรือไม่
การลงทุนคือ เกมระยะยาว เราเลยต้องมั่นใจว่าบริษัทยังสามารถเติบโตและแข่งขันต่อไปได้ ผ่านการสำรวจจุดเด่นของบริษัท หรือในภาษาลงทุนคือ ป้อมปราการของบริษัท (Moat)
ซึ่งแบ่งหลัก ๆ ได้ 5 ประเภทคือ
- มีทรัพย์สินไม่มีตัวตน (Intangible Asset)
ตัวอย่างทรัพย์สินไม่มีตัวตนเช่น การมีแบรนด์ที่ดี สิทธิบัตร สัมปทาน หรือ Know-How เพราะการมีทรัพย์สินเหล่านี้ก็สามารถทำให้คู่แข่งแข่งขันได้ยาก หรืออาจจะเข้ามาไม่ได้เลย
เช่น Coca-Cola (KO) ที่มีสูตรวัตถุดิบและวิธีปรุงให้น้ำอัดลมมีรสชาติที่อร่อย หรือ Eli Lilly (LLY) มีสิทธิบัตรยาลดน้ำหนัก
- มีความได้เปรียบทางด้านต้นทุน (Cost Advantage)
การที่บริษัทสามารถเข้าถึงวัตถุดิบ หรือค่าบริหารจัดการที่ต่ำกว่าบริษัทคู่แข่งได้ จนสามารถขายของในราคาที่ถูกกว่า
เช่น Walmart (WMT) ที่เป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุน รวมถึงการต่อรองกับซัปพลายเออร์ หรือในบ้านเราก็คือ Makro
- มีต้นทุนการเปลี่ยนย้าย (Switching Cost)
สิ่งที่ลูกค้าจะต้องสูญเสียไปเมื่อย้ายจากการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทไปยังบริษัทอื่น ยิ่งต้นทุนของการเปลี่ยนย้ายมาก เช่น ใช้เวลามากขึ้น เสียเงินมากขึ้น ยิ่งทำให้ลูกค้าไม่อยากย้ายไปใช้บริษัทอื่น ทำให้บริษัทรักษาฐานลูกค้าไว้ได้มาก
เช่น SAP (SAP) ที่บริษัทเลือกใช้แล้ว จะไม่ค่อยไปใช้ซอฟต์แวร์ของเจ้าอื่น ๆ อีกต่อไป เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้เสียทั้งเวลาและทรัพยากรตามมาอีกมากมาย
หรือ Apple (AAPL) ที่คนใช้ iPhone จำนวนไม่น้อยเลือกไม่เปลี่ยนใจไปใช้สมาร์ตโฟนเจ้าอื่น เพราะคุ้นชินกับระบบ และข้อมูลส่วนตัวหลาย ๆ อย่างก็อยู่ในระบบ iOS แล้ว
- มีพลังแห่งเครือข่าย (Network Effect)
คูเมืองที่เกิดจากปริมาณลูกค้าที่มากขึ้น ทำให้เกิดเครือข่ายเชื่อมต่อกันระหว่างลูกค้ากันเอง ซึ่งส่งผลให้คู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งได้ยาก
เช่น Microsoft (MSFT) ที่พนักงานทุกคนต้องใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันทั้งบริษัท หรือ YouTube (GOOGL) ที่ปัจจุบันมีคนสร้างคอนเทนต์และคนดูรวมถึง 2,700 ล้านคนต่อเดือน
- อยู่ในตลาดที่จำกัด (Efficiency Scale)
หมายถึงบริษัทมีความครอบคลุมตลาดอย่างเพียงพอ จนทำให้บริษัทใหม่ยากที่จะเข้ามาหาช่องว่างทางการตลาด ซึ่งไม่คุ้มค่าที่จะเข้ามาแข่งขัน
เช่น โทรคมนาคม ที่มีผู้แข่งขันน้อยราย เพราะต้องลงทุนสูงและปัจจุบันแต่ละรายก็กินส่วนแบ่งตลาดครอบคลุมไปเกือบหมดแล้ว
ตัวอย่างหุ้นคือ Comcast (CMCSA) หรือ Union Pacific (UNP) ผู้ให้บริการบริการรถไฟและขนส่งสินค้ารายใหญ่ ที่ตอนนี้วางเส้นทางครอบคลุมพื้นที่สำคัญของทวีปอเมริกาเหนือแล้ว
ทั้งนี้หนึ่งบริษัทสามารถมี Moat มากกว่า 1 อย่างได้ และยิ่งมี Moat มากก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งและได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ด้วย
สุดท้าย เมื่อเราคัดหุ้นได้แล้ว ก็ลงทุนแบบ DCA หรือลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน เช่น ลงทุนในหุ้น Apple (AAPL) เดือนละ 2,000 บาท โดยไม่ต้องสนใจราคาหุ้น
เพราะว่าถ้าเรามองบริษัทจะเติบโตในระยะยาวต่อไปเรื่อย ๆ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงไปด้วยเช่นกันนั่นเอง
หวังว่า บทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเริ่มเห็นแนวทางในการคัดเลือกหุ้นบ้างแล้ว และเป็นกำลังใจให้ทุกคนมีชีวิตการเงินที่ดีขึ้นครับ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบ ผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด